ไจแอนท์เพอร์เพิล กระเจี๊ยบแดงกำแพงแสน
กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนไจแอนท์ ที่มีลักษณะของขนาดกลีบเลี้ยงที่โดดเด่นแตกต่างจากกระเจี๊ยบแดงพันธุ์ทั่วไปขนาดใหญ่และหนา สีม่วงแดงและสีแดง ปลายกลีบเลี้ยงกิ่งหุบกิ่งบานและยังคงเป็นพืชวันสั้นที่ตอบสนองต่อแสง มีฤดูปลูกที่เหมาะสมอยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนไจแอนท์ มี 2 สายพันธุ์ คือ ไจแอนท์เพอร์เพิลและไจแอนท์เรดซึ่งเป็นพันธุ์แท้ทั้งคู่ เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างกระเจี๊ยบแดงพันธุ์กลีบยาวและพันธุ์ซูดาน เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2554 ปลูกทดสอบลูกผสมและพบการกระจายตัวของลักษณะในรุ่นที่ 7 จึงปลูกคัดเลือกประชากรเพื่อศึกษาความคงตัวของสายพันธุ์ ดำเนินการคัดเลือกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 – 2565 โดยปลูกปีละ 1 ครั้ง คัดเลือกต้นที่มีลักษณะของสี ขนาด และรูปทรงของกลีบเลี้ยงที่มีลักษณะดีเด่นในประชากรแต่ละรุ่นมาปลูกจนกระทั่งลักษณะของพันธุ์มีความคงตัว
จุดเด่นและการใช้ประโยชน์ กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสน “ ไจแอนท์เพอร์เพิล ” มีสารแอนโทไซยานินมาก กลีบเลี้ยงมีสีแดงเข้ม/ม่วงเข้ม มีชนิดและปริมาณกรดอินทรีย์ในกลีบเลี้ยงสูงใกล้เคียงกับกระเจี๊ยบแดงสีอื่นๆ เป็นพันธุ์แท้ที่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อได้กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสน “ ไจแอนท์เรด” มีสารแอนโทไซยานินปานกลาง กลีบเลี้ยง มีสีแดง มีชนิดและปริมาณกรดอินทรีย์ในกลีบเลี้ยงสูงใกล้เคียงกับกระเจี๊ยบแดงสีอื่น ๆ เป็นพันธุ์แท้ที่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไปปลูกต่อได้
สำหรับการขยายพันธุ์ หากเกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์เอง ให้คัดเลือกจากต้นพันธุ์ที่มีกลีบดอกสีแดงเข้ม กลีบเลี้ยงหนา โดยนำเมล็ดไปแช่น้ำ แล้วคัดเมล็ดที่ลอยน้ำทิ้ง เก็บไว้เฉพาะเมล็ดที่จมน้ำ และนำขึ้นผึ่งลมจนแห้งก่อนนำไปปลูก การปลูกสามารถทำได้โดยนำเมล็ดไปหยอดลงหลุม หลุมละประมาณ 3-5 เมล็ด เว้นระยะห่างระหว่างต้น 1 เมตร และระหว่างแถว 1-1.5 เมตร ใน 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 400 ต้น ซึ่งช่วงที่เหมาะสมในการปลูกกระเจี๊ยบจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และจะเริ่มออกดอกในเดือนตุลาคม และจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในเดือนมกราคม ซึ่งจะมีอายุประมาณ 120 วัน การดูแลสามารถใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ ในช่วงที่เริ่มเจริญเติบโต โดยมีอายุประมาณ 10-15 วัน และ 40-50 วัน แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพราะจะทำให้ใบและฝักโตเร็วเกินไป เป็นโรคง่าย
สำหรับการให้น้ำ ในระยะ 1-2 เดือนแรกควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อผ่านระยะนี้ไปแล้วต้นกระเจี๊ยบจะสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ดี ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของต้นกระเจี๊ยบแดง ประกอบด้วย วัชพืช โรค และแมลง ดังนั้นจึงควรกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสเกิดความเสียหาย ส่วนโรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคใบจุด โรคฝักจุด หรือฝักลาย และโรคแอนแทรคโนส หากพบให้กำจัดโดยใช้เชื้อบาซิลลัส ซับทีลิส (Bacillus substilis หรือ บีเอส) พ่นในอัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
เรื่องโรคและแมลงรบกวนมักพบเป็นหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยจักจั่นฝ้าย สามารถกำจัดได้โดยใช้เชื้อ BT (Bacillus thuringiensis) ในอัตรา 60-80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือใช้สารธรรมชาติ เช่น เมล็ดสะเดาพ่นในอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
สำหรับการเก็บเกี่ยวสามารถทำได้ 2 แบบ คือ เก็บเฉพาะดอกกระเจี๊ยบแดง โดยใช้กรรไกรหรือมีดตัดเฉพาะดอกที่แก่ แล้วใส่ในภาชนะที่มีวัสดุรอง หรือเก็บเกี่ยวทั้งต้น โดยใช้เคียวเกี่ยวบริเวณโคนกิ่ง
หลังเก็บเกี่ยวให้นำดอกไปแทงเมล็ดออก โดยใช้เหล็กกระทุ้งแทงบริเวณขั้วให้เมล็ดหลุดออกจากกระเปาะหุ้มเมล็ด ส่วนที่เหลือเป็นกลีบเลี้ยง หรือกลีบดอก ให้นำกลีบดอกไปตากแดดนาน 4-7 วันจนแห้งสนิท โดยตากบนชั้นที่สูงจากพื้นดินประมาณ 60- 70 เซนติเมตร และคลุมด้วยผ้าขาวบางเพื่อป้องกันฝุ่น ก่อนนำกระเจี๊ยบแดงที่แห้งสนิทแล้วมาบรรจุถุง ปิดปากให้สนิท และนำเข้าจัดเก็บในห้องที่สะอาด เย็น และไม่อับชื้น
ผลงานวิจัยโดย :
คุณบุณณดา ศรีคำผึ้ง ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน
คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน โทร.09-9641-6246
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณบุณณดา ศรีคำผึ้ง
✍ ผลิตสื่อโดย ฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย
🌟 แนะนำ/ติชม https://forms.gle/e3MzPqrb2V9QE9Tp6