อุปกรณ์ป้องกันการเลื่อนหลุดสำหรับผู้ป่วยเด็กที่ได้รับสารละลายทางหลอดเลือดดำ
งานวิจัยนี้เป็นโครงการของภาควิชาวิศวกรรมวัสดุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้ร่วมกับศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการพัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์ป้องกันการเลื่อนหลุดของอุปกรณ์สำหรับการทำหัตถการวิธีต่างๆ เช่น การเจาะเลือด การฉีดยา การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การดูดเสมหะ เป็นต้น ซึ่งตำแหน่งที่แทงเข็มส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณที่มีการ ขยับเคลื่อนไหว คือบริเวณแขนหรือขา ทำให้มักพบปัญหาคือ สายน้ำเกลือ หรือ Heparin lock บริเวณที่คาไว้เกิดการเลื่อนหลุด ทำให้ผู้ป่วยเด็กต้องเจ็บหลายครั้งจากการแทงเส้นให้น้ำเกลือใหม่ ซึ่งส่งผลต่อร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยเด็กรวมถึงส่งผลต่อการบริการพยาบาลโดยตรง อุปกรณ์ป้องกันการเลื่อนหลุดที่ใช้งานในปัจจุบัน ประสิทธิภาพการใช้งานยังไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน อุปกรณ์เก่า ชำรุด เสียหาย และไม่สวยงาม ซึ่งได้เล็งเห็นถึงปัญหาในส่วนนี้ จึงมีความสนใจในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน โดยการออกแบบการตัดเย็บให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานมากยิ่งขึ้น สรรหาวัสดุทั้งภายในและภายนอกที่นำมาใช้ประกอบให้มีความแข็งที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเด็ก หรือมีขนาดที่เหมาะกับช่วงอายุต่างๆ ของเด็ก โดยคำนึงถึงความสวยงามและความปลอดภัยเมื่อสัมผัสกับผิว
การเลือกชนิดของผ้าที่นำมาใช้โดยเลือกผ้าฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเนื้อผ้าที่เบาบาง สวมใส่สบาย และระบายอากาศได้ดี ร่วมกับการพัฒนาวัสดุผ้าภายนอกไม่ให้ผ้าดูดชับของเหลว หรือมีสมบัติของการสะท้อนน้ำ รวมถึงการทำให้มีสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียจากสารคัดหลั่งต่างๆด้วย โดยหลังจากที่ได้ปรับปรุงผ้าเรียบร้อยแล้ว คณะวิจัยได้ออกแบบอุปกรณ์ป้องกันจำนวน 2 แบบ มี 4 ขนาด คือ S M L และ XL เพื่อนำไปทดลองใช้งานจริงและประเมินความพอใจของอุปกรณ์ยึดติดต้นแบบ แล้วได้ทำการสรุปผลเพื่อเลือกรูปแบบการตัดเย็บจำนวน 1 แบบ คือ แบบที่ 1 และดำเนินการปรับปรุง แก้ไขอุปกรณ์ป้องกันการเลื่อนหลุดตามคำแนะนำให้เหมาะสมกับการใช้งานได้จริง และตรงตามกับความต้องการหรือความพึงพอใจของผู้ใช้งาน ได้แก่ ขนาด L และ XL เพิ่มจำนวนสายรัดเป็น 3 เส้น เพิ่มความสดใสสวยงามโดยเปลี่ยนมจิกเทปเป็นหลากสีตามขนาดของอุปกรณ์ยึดติด เพิ่มความกว้างและความยาวของเมจิกเทปรวมถึงการวางตำแหน่งของเมจิกทปบนสายรัดเพื่อให้การรัดได้แน่นหนาขึ้น เป็นต้น ซึ่งต้นแบบของอุปกรณ์ป้องกันที่ได้พัฒนารอบสุดท้ายแล้ว คณะวิจัยจะดำเนินการผลิตชิ้นงานเพื่อจัดส่งให้กับทางศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป


