การคัดกรองเบาหวานจอตาโดยปัญญาประดิษฐ์

โรคเบาหวานจอตา (Diabetic retinopathy หรือ DR) มีสาเหตุมาจาก การที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด เดิมการคัดกรองเบาหวานจอตาทำโดยการขยายม่านตาตรวจจอตาโดยจักษุแพทย์เท่านั้น จากปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้องใช้เวลานานในการตรวจ จึงมีการออกแบบระบบการคัดกรองเบาหวานจอตาโดยการถ่ายภาพจอประสาทตาแล้วเก็บรวบรวมให้จักษุแพทย์แปลผลภาพถ่ายจอตาย้อนหลัง เพื่อประเมินการส่งต่อให้จักษุแพทย์อีกครั้งในกรณีที่ผลมีความผิดปกติ

การคัดกรองเบาหวานจอตาโดยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) ซึ่งมีความแม่นยำในการวิเคราะห์ค่อนข้างสูง โดยสามารถวิเคราะห์ได้ว่าภาพใดมีความผิดปกติของจอตาจากเบาหวาน และอยู่ในระยะที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจติดตามโดยจักษุแพทย์หรือไม่ โมเดลที่ผ่านการพัฒนามาแล้วจะทำการคัดแยกภาวะเบาหวานจอตาจากภาพถ่ายจอตาที่ถูกป้อนเข้ามาให้โปรแกรม และให้ผลเป็นระดับความเร่งด่วนในการส่งต่อ วิเคราะห์จากค่าความน่าจะเป็นของการพบรอยโรค จะแสดงถึงความเร่งด่วนในการต้องส่งพบแพทย์ตามไปด้วย

ลักษณะเด่นของโปรแกรมคัดกรองเบาหวานจอตาด้วย AI 

  • มีความแม่นยำสูงกว่าการแปลผลภาพด้วยผู้แปลผลที่ได้รับการฝึกฝน
  • ได้รับการจดลิขสิทธิ์โปรแกรมแล้วในวันที่ 16 พ.ย.63 เป็นลิขสิทธิ์ร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดล และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้สามารถพัฒนาโปรมแกรมเองได้อย่างต่อเนื่อง
  • การคัดกรองผู้ป่วยทำได้ได้เร็วขึ้น ลดการใช้ทรัพยากรจักษุแพทย์ได้ถึง 60%
  • ลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขยายม่านตา โดยใช้โปรแกรมลดจำนวนเคสที่ต้องขยายม่านตาลง
  • เพิ่มการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล ที่ขาดแคลนทรัพยากร

ผลกระทบจากงานวิจัย

ด้านเศรษฐกิจ  สามารถลดต้นทุนการจ้างงาน ลดค่าใช้จ่ายในการให้บริการได้มากกว่าในระยะยาว

ด้านสังคม การคัดกรองผู้ป่วยทำได้ได้เร็วขึ้น ลดการใช้ทรัพยากรจักษุแพทย์ได้ถึง 60%  ในส่วนของลดอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการขยายม่านตา หรือการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน  โดยการใช้โปรแกรมลดจำนวนเคสที่ต้องขยายม่านตาลง นอกจากนี้ยังเพิ่มการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล ที่ขาดแคลนทรัพยากร พบความผิดปกติของโรคได้รวดเร็วขึ้น ลดโอกาสเกิดภาวะรุนแรง ที่การรักษาทำได้ค่อนข้างยาก

ด้านสิ่งแวดล้อม     เนื่องจากการใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น ทำให้อัตราการคัดกรองทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น  ทำให้ลดเวลาที่ผู้ป่วยหรือญาติต้องใช้ที่โรงพยาบาล (จากการตรวจตาปกติใช้เวลา 40 นาทีต่อคน เหลือเพียง 25 นาทีต่อคน  รวมทั้งการตรวจด้วยโปรแกรมอัตโนมัติสามารถแปลผลภาพจำนวนมากๆพร้อมกันได้)  ลดความหนาแน่นของผู้ป่วยที่มาใช้บริการของโรงพยาบาล ซึ่งการลดความหนาแน่นของผู้ใช้บริการนี้ยังจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคอื่นๆ ของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยที่จะต้องเดินทางมาโรงพยาบาล  และเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรทงการแพทย์มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นอกจากนี้ยังถือเป็นการลดการใช้ทรัพยากรอื่นๆในระบบเช่น น้ำ ไฟฟ้า กระดาษ ได้อย่างเป็นรูปธรรม  และยั่งยืนกว่าการทำงานในรูปแบบเดิม

ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม
ผศ.ดร.พาพิศ วงศ์ชัยสุวัฒน์ และคณะ
ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โทร. 02-797-0999 E-mail: papis.w@ku.th

เรียบเรียงโดย
น.ส.ทิสยา ทิศเสถียร
ฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก.
E-mail: rdityt@ku.ac.th