คีนัวพันธุ์ดีปลูกได้ในไทย: แดงห้วยต้มและเหลืองปางดะ

ลักษณะช่อดอกและเมล็ดของคีนัวสายพันธุ์แดงห้วยต้ม (สีแดง) และเหลืองปางดะ (สีเหลือง)

คีนัว เป็นพืชที่เมล็ดมีคุณค่าทางโภชนาการทางสูง โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations หรือ FAO) ได้จัด Quinoa International Years 2013 เพื่อส่งเสริมการบริโภคเมล็ดคีนัวซึ่งเป็นหนึ่งใน super functional food สำหรับยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความมั่นคงและความปลอดภัยด้านอาหารของมนุษยชาติ เหมาะสำหรับเป็นแหล่งโปรตีนทดแทนสำหรับบุคคลและเด็กที่เป็นโรคแพ้โปรตีนจากสัตว์หรือธัญพืชบางชนิด เนื่องจากเมล็ดคีนัวประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน เยื้อใย และแร่ธาตุต่างๆ สูง โดยเฉพาะธาตุเหล็ก สังกะสี แมกนีเซียมและแมงกานีส มีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนและสมดุลย์  ในขณะที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและดัชนีน้ำตาล (Glycemic index; GI) ต่ำ  มีไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินบี วิตามินเค มีสารเคอเซตินซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันการอักเสบ ป้องกันไวรัสและลดอาการเครียด และเมล็ดคีนัวปราศจากกรูเต็น (Gluten free) นอกจากนั้นการบริโภคต้องทำให้สุก ทานไม่ยาก จึงมีความเหมาะสมยิ่งกับเพื่อการพัฒนาเป็นแหล่งโปรตีนจากพืช (Plant Protein Base; PPB) และผลิตภัณฑ์อาหารที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นแนวโน้มของแหล่งอาหารปลอดภัยในอนาคตและมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คีนัวได้ถูกนำมาปลูกในประเทศไทยครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง สถานเอกราชทูตชิลีประจำประเทศไทยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติพงษ์ โตบันลือภพ อาจารย์ประจำภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ได้เริ่มต้นการวิจัยเพื่อศึกษาความสามารถในการปรับตัวของคีนัวภายใต้สภาพแวดล้อมต่างๆ ของประเทศไทย โดยได้รับความอนุเคราะห์เชื้อพันธุกรรมจากสถาบันแหล่งพันธุกรรมแห่งชาติชิลี ปลูกทดสอบครั้งแรก ภายใต้สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ณ สถานีเกษตรหลวงปางดะ จังหวัดลำพูน และศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองเขียว จังหวัด ทีมวิจัยสามารถคัดเลือกสายพันธุ์คีนัวที่เหมาะสมสามารถเจริญเติบโตและสร้างผลผลิตภายใต้สภาพแวดล้อมของประเทศไทยได้สองสายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ “แดงห้วยต้ม” และ “เหลืองปาดะ” โดยสามารถเพาะปลูกคีนัวทั้งสองสายพันธุ์ได้ในช่วงปลายฤดูฝน-ต้นฤดูหนาว ถึง ปลายฤดูหนาว ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ม.ค./ก.พ. ซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ย สูงสุด 20-300C ต่ำสุด 210C เฉลี่ย 25.930C ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 100.86 มิลลิเมตร เป็นเวลา 10.4 วันต่อเดือน ประชากรพืชที่เหมาะสม คือ 32,000 ต้นต่อไร่ อัตราธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ที่เหมาะสม ที่ 30-50 กิโลกรัมต่อไร่

แปลงผลิตคีนัวเชิงการค้าของเกษตรกรในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่

คีนัวเป็นพืชล้มลุก ใบเลี้ยงคู่ ลำต้นตั้งตรง มีความสูงจากพื้นดินประมาณ 120-150 เซนติเมตร มีระบบรากแก้ว ลึกและแข็งแรง และรากแขนง ดอกมีลักษณะแบบช่อแขนง โดยจัดเรียงอยู่บนส่วนยอด หรือระหว่างกิ่งก้าน โดยคีนัวเป็นพืชผสมตัวเอง หลังจากการผสมตัวเอง จะมีการสร้างผล ซึ่งเมล็ดคีนัว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร ทรงต้นและดอกของคีนัวแดงห้วยต้มมีสีแดงอมม่วง ผลอาจมีสีน้ำตาลแดง ทรงต้นและดอกของคีนัวเหลืองปาดะมีสีเหลืองเขียว ผลอาจมีสีขาวเหลือง

ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ส่งมอบคีนัวทั้งสองสายพันธุ์ให้แก่มูลนิธิโครงการหลวงเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่งจากผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการวิจัยนอกจากสามารถคัดเลือกสายพันธุ์คีนัวและได้รับการรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียนแล้วนั้นยังดำเนินการด้านการส่งเสริมการเพาะปลูกเชิงการค้าให้แก่เกษตรกรบนพื้นที่สูงในเขตภาคเหนือ ส่งผลให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงสามารถเพิ่มทางเลือกด้านการเพาะปลูกพืช ส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่เกษตรบนพื้นที่สูงและพื้นที่ราบของประเทศไทยที่มีข้อจำกัดหรือปัญหาด้านการเกษตรต่าง ๆ  ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูก ไม่มีความจำเป็นต้องขยายหรือเคลื่อนย้ายพื้นที่เพาะปลูก อีกทั้ง คีนัวเป็นพืชที่มีศัตรูพืช ทั้งโรคและแมลงน้อย มีความต้องการปัจจัยการผลิตต่ำ เช่น ปุ๋ย ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมีการใช้สารเคมีระหว่างการเพาะปลูกน้อยมาก

ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม
ผศ.ดร.ปิติพงษ์ โตบันลือภพ
ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โทร. 0-2579-3130 E-mail: fagrppt@ku.ac.th

ผู้เรียบเรียง
น.ส.ทิสยา ทิศเสถียร
ฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก.
E-mail: rdityt@ku.ac.th