กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนม่วงจัมโบ้

กระเจี๊ยบแดง ชื่อสามัญ Roselle (Hibiscus sabdariffa L.)

กระเจี๊ยบแดง เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่หลายคนคงคุ้นเคย อาทิเช่นน้ำกระเจี๊ยบที่ให้รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วชื่นใจ กระเจี๊ยบแดงยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่มีสรรพคุณต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนดอก ส่วนต้น หรือส่วนใบ ล้วนแต่สามารถนำมาเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับทุกคนได้ ถ้ายังไม่ทราบก็มารู้จักประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดงกันเลย

กลีบเลี้ยงของกระเจี๊ยบแดงเป็นแหล่งของสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ละลายน้ำได้ดี ให้สีแดงและสีม่วง ประกอบด้วยสาร delphinidin-3-sambubioside เป็นองค์ประกอบหลัก และสาร cyanidin-3-sambubioside กลีบเลี้ยงมีรสเปรี้ยวเนื่องจากในกลีบเลี้ยงมีกรดอินทรีย์หลายชนิดในปริมาณสูง มีวิตามินซีสูง และยังมีกรด HCA ที่พบว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้

ปัจจุบันมีการสกัดสารแอนโทไซยานินเพื่อใช้เป็นสีผสมอาหารจากธรรมชาติ ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากสามารถช่วยส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยชะลอการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งและยับยั้งเนื้องอก ลดภาวะเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ เสริมภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้น และชะลอความเสื่อมของเซลล์ เป็นต้น

สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง

  • กลีบเลี้ยงอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
  • เป็นยาสมุนไพรสามารถขับปัสสาวะ ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ
  • ช่วยลดความดันโลหิตช่วยเสริมการทำงานของเม็ดเลือดแดง ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน
  • ลดการเกินไขมันอุดตันในหลอดเลือด ลดภาวะเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ
  • ลดโอกาสการเกิดมะเร็งและยับยั้งเนื้องอก

ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสนโดย คุณอุทัยวรรณ ด้วงเงิน นักปรับปรุงพันธุ์และทีมนักวิจัย ได้ทำการปรับปรุงพันธุ์กระเจี๊ยบแดงลูกผสมระหว่างกลีบยาวและพันธุ์ซูดานจำนวน 8 รุ่น สามารถคัดเลือกได้กระเจี๊ยบแดงสายพันธุ์แท้ โดยให้ชื่อพันธุ์ว่า กระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสน มีจำนวนทั้งหมด 13 พันธุ์ ดังนี้

  1. ม่วงจัมโบ้
  2. ม่วงจัมโบ้กลีบบาน
  3. ม่วงจัมโบ้กลีบหุบ
  4. HA กลีบหุบ
  5. HA กลีบบาน
  6. แดงจัมโบ้
  7. แดงจัมโบ้กลับบาน

8. แดงจัมโบ้กลีบหุบ
9. ชมพูจับโบ้
10. ชมพูจัมโบ้กลีบบาน
11.ชมพูจัมโบ้กลีบหุบ
12. ขาวจัมโบ้
13. ขาวจัมโบ้กลีบบาน

ลักษณะเด่นของกระเจี๊ยบแดงพันธุ์กำแพงแสนม่วงจัมโบ้
  1. กลีบเลี้ยงขนาดใหญ่ รูปทรงยาวค่อนข้างหนามีสีแดงอมม่วง หรือสีม่วง
  2. มีสารแอนโทไซยานิน และสารประกอบฟีนอลิกรวมและออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง
  3. ลำต้นแข็งแรง แตกกิ่งก้านให้ผลผลิตสูง
  4. สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าพันธุ์อื่น

เราสามารถบริโภคกระเจี๊ยบแดงได้ทั้งผลและใบ โดยนิยมเอาผลไปต้มเป็นเครื่องดื่ม ส่วนใบใช้ทำอาหารคาว ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก และทั้งส่วนมีรสชาติออกเปรี้ยว ในส่วนกลีบเลี้ยงของผลกระเจี๊ยบมีสารโทไซยานินปริมาณมากกว่าบลูเบอรี่ ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างความแข็งแรงแก่หลอดเลือด ลดความดันโลหิต โรคมะเร็ง และชะลอความแก่ ทั้งยังดูดซึมเข้าสมองอย่างรวดเร็ว ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อม

แหล่งปลูกกระเจี๊ยบแดงที่สำคัญอยู่ที่จังหวัดลพบุรี นิยมปลูกแบบหว่านเมล็ดโดยใช้พันธุ์ซูดานหรือพันธุ์เกษตรซึ่งให้ผลผลิตดีและมีกลีบเลี้ยงที่หนาใหญ่ เริ่มปลูกกันในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ควรปลูกเป็นแถวยกร่อง ห่างกัน 50-70 ซม. โดยการหยอดหลุม หลุมละ 3-4 เมล็ด เมื่อเมล็ดงอกให้ถอนต้นที่ไม่สมบูรณ์ออกให้เหลือ 1-2 ต้น เพื่อป้องการแย่งอาหารและโรคโคนเน่าตามมาได้ ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตคือเดือนธันวาคม-มกราคม

การดูแลรักษา ในช่วง 1-2 เดือนแรก ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและต้อวมีการกำจัดวัชพืช ให้ปุ๋ยให้ 2 ครั้ง ครั้งแรก 20-25 วัน และครั้งที่สอง 50-60 วัน โดยใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 ไร่ละ 25กก. เรื่องแมลงศัตรูพืชมีน้อยมาก เมื่อมีอายุ 60-70 วัน กระเจี๊ยบแดงจะเริ่มออกดอก และเมื่อ 100-120 วัน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ โดยให้ตัดเฉพาะฝักกลีบเลี้ยงที่โตเต็มที่ ยังเป็นสีเขียว และยังไม่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จะได้ปริมาณสารแอนโทไซยานินและกรดอินทรีย์ต่างๆ ในปริมาณสูงสุด

ข้อควรระวัง เมื่อรับประทานกระเจี๊ยบแดงร่วมกับยา คือจะไปเสริมฤทธิ์การขับปัสสาวะของยาขับปัสสาวะ และลดการดูดซึมของยาแก้ปวดพาราเซตามอล ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงร่วมกับการรับประทานยา และไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคไตหรือมีความผิดปกติของไต

ผู้วิจัย : นางอุทัยวรรณ ด้วงเงิน
ศูนยวิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
โทร. 081-936-9260     Email : rdiuwd@ku.ac.t

ผู้เรียบเรียง : น.ส.ทิสยา ทิศเสถียร Email : rdityt@ku.ac.th
(ฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก.)