รายการวิทยุ เรื่อง ปลูกพืชอินทรีย์ไม่ดีอย่างที่คิด ปลูกพืชปลอดสารพิษดีกว่า/อำนาจ สุวรรณฤทธิ์
บทวิทยุ รายการ “ จากแฟ้มงานวิจัย มก.”
ออกอากาศวันเสาร์ที่ 21 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
เรื่อง ปลูกพืชอินทรีย์ไม่ดีอย่างที่คิด ปลูกพืชปลอดสารพิษดีกว่า
บทวิทยุโดย วิทวัส ยุทธโกศา
………………………………………………………………………………………………………
-เพลงประจำรายการ-
สวัสดีครับ คุณผู้ฟังทุกท่านครับ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่รายการ “จากแฟ้มงานวิจัย มก.” ซึ่งออกอากาศเป็นประจำทุกวันเสาร์ ทางสถานีวิทยุ มก. แห่งนี้ครับ รายการนี้ผลิตโดยฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่ง มก. เป็นรายการที่นำเสนอผลงานวิจัยของอาจารย์และนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทั้งในด้านการเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแขนงต่างๆ มานำเสนอให้คุณผู้ฟังได้ทราบ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้ฟังในการนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน หรือกับอาชีพของตนเอง โดยมีกระผม……………………………….รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการครับ
ปัจจุบันนะครับ ได้เกิดกระแสทางความคิดและความเชื่อกันอย่างกว้างขวาง ในระดับโลก รวมทั้งประเทศไทย ว่าการผลิตพืชอินทรีย์เป็นการผลิตที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ต้นทุนการผลิต มีความเสี่ยงน้อยต่อการเกิดมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง ไม่เกิดสารพิษในผลผลิต ทำให้มีโรคและแมลงทำลายพืชน้อย และคุณภาพด้านโภชนาการของผลผลิตสูง คุณผู้ฟังทราบไหมครับว่าการผลิตพืชอินทรีย์ในที่นี้หมายถึงการผลิตพืชที่ไม่มีปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีเลยแม้แต่น้อย เช่น การไม่ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดโรคและแมลง ไม่ใช้สารกำจัดวัชพืช รวมทั้งไม่ใช้ปุ๋ยเคมี การห้ามใช้ปุ๋ยเคมี ซึ่งไม่ใช้สารพิษแต่เป็นสารที่ให้ธาตุอาหารพืช อาจฟังดูแล้วขัดกับหลักความเป็นจริงและหลักวิชาการ นั่นคือจะเห็นได้ว่าปุ๋ยเคมี ก็มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ทำได้ดีกว่า และมีความได้เปรียบกว่าปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ และผลงานวิจัยนี้เป็นของ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อำนาจ สุวรรณฤทธิ์ ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ท่านเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาคปฐพีวิทยา คณะเกษตร มก. ประธานสภาข้าราชการ มก. รองอธิการบดี มก. และอุปนายกสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย เกษียณอายุราชการในตำแหน่งศาสตราจารย์ ระดับ 11 หลังเกษียณอายุราชการจึงได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณ และกับการวิจัยในครั้งนี้ ท่านจึงได้ค้นคว้ารวบรวมข้อมูลผลการวิจัย เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับกระแสความคิดหรือความเชื่อดังกล่าว ซึ่งทำให้เห็นว่ากระแสความคิด หรือความเชื่อเรื่องข้อดีของการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่กล่าวข้างต้นนั้นไม่ถูกต้อง การปล่อยให้เกิดกระแสความเข้าใจผิดของสังคมไทยโดยไม่มีการทักท้วง อาจทำให้เกษตรกรไทยหลงทางได้ แทนที่จะมีกำไรจากการผลิต แต่ต้องกลับมาขาดทุน แล้วยังทำให้เสียโอกาสในการลดมลพิษ และการปรับปรุงคุณภาพด้านโภชนาการของผลผลิตพืชอีกด้วย คุณผู้ฟังครับ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับข้อดีและข้อด้อยของการปลูกพืชอินทรีย์ การปลูกพืชปลอดสารพิษ และการปลูกพืชที่ปลอดภัยจากสารพิษ จะส่งผลให้การเกษตรในประเทศพัฒนาไปในแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสมในที่สุดครับ
-เพลงคั่นรายการ-
กลับมาฟังกันต่อนะครับ เรามาฟัง ปริมาณผลผลิตพืชที่ได้เมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เท่ากัน คุณผู้ฟังครับเมื่อเราใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เท่ากัน ในที่ดินแปลงเดียวกัน ปุ๋ยอินทรีย์จะผลิตพืชได้น้อยกว่าปุ๋ยเคมีมาก หากจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ให้ผลผลิตเท่ากับปุ๋ยเคมีจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นจำนวน 8-70 เท่าของปุ๋ยเคมีเลยทีเดียวครับ และก็ขึ้นอยู่กับปุ๋ยอินทรีย์ด้วย เรามาดูตัวอย่างการทดลองของปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่ให้ผลผลิตพืชเท่ากับปุ๋ยเคมี 1 กิโลกรัม เมื่อปลูกในที่ดินแปลงเดียวกัน เช่น มูลค้างคาว 8 กก. เท่ากับปุ๋ยเคมี 1 กก. มูลไก่ 12 กก. มูลเป็ด 14 กก. มูลสุกร 18 กก. มูลโค 20 กก. ปุ๋ยหมัก 44-70 กก. ทั้งหมดนี้เท่ากับปุ๋ยเคมีแค่ 1 กก. เท่านั้นนะครับ
ส่วนราคาต้นทุนผลผลิตพืชจากการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยเคมี หากเราต้องการให้ได้ผลผลิตพืชที่ปลูกในดินเดียวกันเท่ากันนั้น จะต้องใช้ปุ๋ยอินทรียืมากกว่าปุ๋ยเคมีหลายเท่า เช่น หากปลูกพืชชนิดเดียวกันในดินเดียวกัน ต้องใช้มูลไก่ 1,200 กิโลกรัมจึงจะเพิ่มผลผลิตพืชได้เท่ากับปุ๋ยเคมี 100 กิโลกรัม ดังนั้นปุ๋ยอินทรีย์ 1 กิโลกรัมก็จะถูกกว่าปุ๋ยเคมี 1 กิโลกรัมหลายเท่า ก็สักประมาณ 8-70 เท่า ขึ้นอยู่กับชนิดของปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อคำนวรโดยไม่รวมค่าขนส่งและค่าแรงใส่ปุ๋ย ซึ่งในกรณีที่ปุ๋ยอินทรีย์ปริมาณสูงกว่ามาก จึงจะทำให้ต้นทุนต่อหนึ่งกิโลกรัมของผลผลิตพืชที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เท่ากับผลผลิตพืชที่ใช้ปุ๋ยเคมี และหากใช้ราคาปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีที่จำหน่ายในปัจจุบันในการคำนวณราคาต้นทุนต่อหน่วยผลผลิตพืช โดนไม่รวมค่าขนส่งและค่าแรงใส่ปุ๋ย จะพบว่าการผลิตโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีราคาต้นทุนที่สูงกว่าการผลิตโดยการใช้ปุ๋ยเคมี หากต้องการให้ราคาต้นทุนผลผลิตพืชที่ปลูกโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ถูกกว่าผลผลิตพืชที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมี เกษตรกรจะต้องทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองหรือมีแหล่งปุ๋ยอินทรีย์ที่ราคาถูกกว่าปุ๋ยเคมี 8-70 เท่า ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของปุ๋ยอินทรีย์
-เพลงคั่นรายการ-
นอกจากจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในปริมาณที่มากกว่าปุ๋ยเคมีหลายเท่าในการเพิ่มผลผลิตพืชขึ้นเท่าๆกันแล้ว ในบางกรณีปุ๋ยอินทรีย์ไม่สามารถทำให้ผลผลิตพืชเพิ่มขึ้น เนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์มีชนิดและปริมาณธาตุอาหารไม่เหมาะสมกับดินและพืชที่ปลูก แต่ปุ๋ยเคมีที่ได้รับการคัดเลือกสูตรปุ๋ยที่ใช้ให้เหมาะสมกับดินและพืชทำให้คุณภาพและปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น
และอีกอย่าง คือปุ๋ยชีวภาพที่แนะนำให้ใช้อยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ทีค่าใช้จ่ายในการใช้ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี แต่ปุ๋ยชีวภาพส่วนใหญ่มีเงื่อนไขหลายอย่างที่จะทำให้การใช้ปุ๋ยได้ผลดี เรามาฟังตัวอย่างเงื่อนไขกันครับ คือว่า ดินจะต้องไม่มีจุลินทรีย์ชนิดเดียวกับจุลินทรีย์ที่ใช้เป็นปุ๋ยชีวภาพหรือมีน้อย ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตและกิจกรรมของจุลินทรีย์ในปุ๋ย ดินต้องไม่ขาดธาตุอาหารอื่นๆที่ไม่ใช่ธาตุที่จุลินทรีย์ในปุ๋ยจะช่วยเพิ่มให่แก่พืช และต้องทราบว่าจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยชีวภาพนั้นซ้ำหลังจากมีการใส่ไปแล้วครั้งหนึ่งหรือไม่ เงื่อนไขนี้นะครับจะแตกต่างกันอย่างมากในระหว่างพื้นที่ต่างๆ หรือแม้แต่ในจุดต่างๆในแต่ละแปลงปลูกพืช และจำเป็นจะต้องทำการวิจัยอีกมากเพื่อให้ทราบเงื่อนไขเหล่านี้ ดังนั้นนะครับ การให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยชีวภาพในปัจุบันจึงเป็นแบบ “เหวี่ยงแห” คือไม่ได้บอกเงื่อนไขที่จะทำให้การใช้ปุ๋ยได้ผลดี ทั้งนี้เพรายังไม่ทราบเงื่อนไข หรือไม่มีวิธีที่เหมาะสมที่จะทำให้ทราบว่าสภาพที่จะใช้ปุ๋ยมีเงื่อนไขเหมาะสมต่อการใช้ปุ๋ยชีวภาพหรือไม่ การขาดความรู้เรื่องเงื่อนไขหรือขาดวิธีที่เหมาะสมที่จะทำให้ทราบความเหมาะสมของเงื่อนไขดังกล่าวนี้ส่งผลให้การใช้ปุ๋ยชีวภาพให้ผลคุ้มค่าเฉพาะบางพื้นที่ แต่ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงขึ้นโดยผลผลิตไม่เพิ่มขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ยกเว้นกรณีเชื้อไรโซเบียมซึ่งมีข้อมูลจากากรวิจัยมากพอสำหรับประกอบการให้คำแนะนำที่มีความแม่นยำที่น่าพอใจครับ
-เพลงคั่นรายการ-
เรามาฟัง ผลของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีต่อการเข้าทำลายพืชโดยโรคและแมลง คุณผู้ฟังครับ ปุ๋ยอินทรีย์โดยส่วนใหญ่ทำให้พืชถูกโรคและแมลงเข้าทำลายมากขึ้น สำหรับปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้กันทั่วไปมีเพียงชนิดเดียว คือ มูลค้างคาว ซึ่งมีฟอสฟอรัสสูงที่อาจจะช่วยลดการทำลายพืชโดยโรคและแมลง ตรงกันข้ามปุ๋ยเคมีที่มีฟอสฟอรัสหรือโพแทสเซียมมากแต่มีไนโตรเจนไม่มากเกินไปทำให้พืชถูกโรคและแมลงทำลายน้องลง ทำให้เกษตรกรสามารถลดการทำลายพืชของโรคและแมลงได้ด้วยการเลือกใช้ปุ๋ยเคมีที่มีสูตรที่ให้ฟอสฟอรัสและโพตัสเซียมที่เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับปริมาณไนโตรเจน โดยไม่ควรมีไนโตรเจนสูงกว่าฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ซึ่งจะทำให้พืชแข็งแรงไม่อวบน้ำ เป็นวิธีการหนึ่งในการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อให้การผลิตพืชโดยไม่ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชมีปัญหาด้านโรคและแมลงน้อยลงได้ด้วย
มาผลของปุ๋ยประเภทต่างๆต่อคุณภาพด้านโภชนาการของพืชกันครับ ถึงแม้ว่ายังไม่มีผลการชี้ชัดว่าปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีให้ผลผลิตพืชที่มีคุรภาพด้านโภชนาการสูงกว่ากันหรือไม่ แต่ผลการวิจัยแสดงว่าพืชที่ใส่ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์อย่างเหมาะสมมีคุณภาพทางด้านโภชนาการสูงกว่าพืชที่ใส่ปุ๋ยประเภทเดียวร่วมกันอย่างเหมาะสมกับดินแต่ละแห่งและพืชแต่ละชนิดมีคุณภาพสูงกว่าพืชที่ใส่ปุ๋ยประเภทเดียวหรือสองประเภทร่วมกัน
จากนั้นมาฟังผลกระทบของการใช้ปุ๋ญกันบ้างนะครับ คือการเกิดผลกระทบจากการใช้ปุ๋ยประเภทต่างๆ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งห้ามใช้ปุ๋ยเคมีทำให้เกิดมลพิษมากกว่าการผลิตพืชแบบปลอดสารพิษที่มีการใช้ปุ๋ยทั้งสามประเภทอย่างเหมาะสม ทำให้มีการชะล้างไนเทรตจากดินลงสู่แหล่งน้ำมากกว่า มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า มีความเข้มข้นของไนเทรตในพืชสูงกว่า และมีความเสี่ยงต่อการมีโลหะหนักในดินจนเกินระดับที่ปลอดภัยมากกว่า ดังข้อสรุปจากการวิจัยดังนี้
7.1 การปลูกพืชอินทรีย์ที่ทำให้มีการชะล้างไนเทรตจากดินมากกว่าการปลูกพืชที่มีการใช้ปุ๋ยทั้งสามประเภทอย่างเหมาะสม
7.2 ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้มีการปลดปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์จากดินมากกว่าปุ่ยเคมี ทั้งในสภาพน้ำขังและสภาพปลูกพืพชบนที่ดอน เพราะคาร์บอนในปุ๋ยอินทรีย์ทำให้จุลินทรีย์เจริญเติบโตและใช้ออกซิเจนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดสภาพขาดออกซิเจนในดินมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ออกมาจากดินมากขึ้น ซึ่งรู้ไหมครับว่าก๊าซทั้งสองตัวนี้แหละเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน
7.3 เมื่อใส่ปุ๋ยในปริมาณที่ให้ผลผลิตพืชเท่ากัน ปุ่ยอินทรีย์ทำให้การสะสมไนเทรตในผลผลิตพืชมากกว่าปุ๋ยเคมี
7.4ปุ๋ยอินทรีย์มีความเสี่ยงสูงกว่าปุ๋ยเคมีในการทำให้เกิดการสะสมโลหะหนักในดิน ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคพืชที่ปลูกบนดินนั้น
-เพลงคั่นรายการ-
คุณผู้ฟัง การผลิตพืชอินทรีย์ไม่เพียงจะด้อยกว่าการผลิตพืชปลอดสารพิษ สำหรับพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและการผลิตพืชปลอดภัยจากสารพิษสำหรับพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชดังที่กล่าวข้างต้น แต่ยังไม่มีวิธีตรวจพิสูจน์ว่าผลผลิตที่อ้างว่าเป็นผลผลิตพืชปลอดสารพิษและพืชปลอดภัยจากสารพิษสามารถตรวจพิสูจน์ได้ด้วยการตรวจปริมาณสารพิษในผลผลิตเหล่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าการผลิตพืชอินทรีย์มีข้อเสียในด้านวิชาการและในด้านสังคม ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้การเกษตรของประเทศหลงทาง แต่ยังทำให้เกิดปัญหาด้านสังคมจากการที่การผลิตพืชอินทรีย์เปิดช่องทางให้ผู้บริโภคถุกหลอกโดยกฏหมายไม่สามารถคุ้มครองได้อีกด้วย เพราะอาจทำให้มีผู้นำผลผลิตพืชที่ผลิตโดยมีการใช้ปุ๋ยเคมีมาจำหน่าย โดยอ้างว่าเป็นผลผลิตพืชอินทรีย์ โดยการอาศัยช่องโหว่จากการที่ไม่มีวิธีตรวจพิสูจน์ว่าผลผลิตนั้นได้จากการปลูกพืชโดยใช้ปุ๋ยเคมีหรือไม่ กระผมหวังว่าความรู้ในวันนี้อาจทำให้เกษตรกรได้ตาสว่างขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการประกอบอาชีพการเกษตร ที่ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจในการผลผลิต ดังนั้นผลผลิตที่จะได้รับก็ควรจะมีคุ้มค่ากับสิ่งที่ทุ่มเทไป
คุณผู้ฟังครับ สัปดาห์หน้ากระผม จะนำเรื่องราวผลงานวิจัยอะไรดีๆ มาฝากคุณผู้ฟังอีก อย่าลืมติดตามรับฟังได้ในรายการ “จากแฟ้มงานวิจัย มก.” ในวันและเวลาเดียวกันนี้ หากคุณผู้ฟังมีข้อเสนอแนะนำติชมรายการหรือจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเขียนจดหมายมายังรายการ “จากแฟ้มงานวิจัย มก.” ตู้ ปณ. 1077 ปทฝ. เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10903 หรือโทรสอบถาม ได้ที่ 0-2561-1474 สำหรับวันนี้รายการจากแฟ้มงานวิจัย มก. ได้หมดเวลาลงแล้วครับ พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้ลาไปก่อน สวัสดีครับ