รายการวิทยุเรื่อง “การปลูกกะหล่ำปลี”

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=_H5o0lhbQeA[/youtube]

บทวิทยุ รายการ “ จากแฟ้มงานวิจัย  มก.”

ออกอากาศวันเสาร์ที่ 23 เดือน  สิงหาคม  พ.ศ. 2557

เรื่อง การปลูกกะหล่ำปลี

บทวิทยุโดย  วิทวัส ยุทธโกศา

……………………………………………………………………………………………………………

-เพลงประจำรายการ-

                   สวัสดีครับคุณผู้ฟังทุกท่านครับ พบกับรายการ  “ จากแฟ้มงานวิจัย  มก. “  ทางสถานีวิทยุ มก. แห่งนี้เป็นประจำทุกวันเสาร์ รายการนี้ผลิตโดย  ฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย  สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และสำหรับวันนี้กระผมขอเสนอ เรื่อง  “ การปลูกกะหล่ำปลี “ ครับ

         

คุณผู้ฟังครับกะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบทวีปยุโรป    ซึ่งกรีกเป็นชนชาติแรกที่ปลูกกะหล่ำปลีครับ กะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่มีการปลูกในประเทศไทยเป็นเวลานานมากกว่า  60  ปี แล้วครับ โดยระยะแรกปลูกได้ดีเฉพาะฤดูหนาวทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ต่อมาเริ่มเป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไป จึงได้มีการนำพันธุ์กะหล่ำปลีทนร้อนเข้ามาปลูก  ทำให้ในปัจจุบันสามารถปลูกกะหล่ำปลีได้ตลอดทั้งปีครับคุณผู้ฟัง

คุณผู้ฟังทราบไหมครับว่า นักวิจัยได้พบว่าสารอาหารในกะหล่ำปลีช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารสร้างเยื่อบุผนังกระเพาะได้เร็วขึ้น แผลในกระเพาะและลำไส้จะหายเร็ว   และมีการทดลองในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่ง ได้ให้คนไข้กินน้ำกะหล่ำปลีคั้นสดวันละ 2 แก้ว  เพื่อรักษาโรคกระเพาะ  ส่วนที่รัสเซียใช้น้ำคั้นจากกะหล่ำปลีตากแห้ง แล้วนำผงที่ได้รักษาโรคกระเพาะและท่อน้ำดีอักเสบจะเห็นผลชัดเจน

คุณผู้ฟังครับการผลิตกะหล่ำปลีของประเทศไทย  มีการปลูกทั่วไปแทบทุกจังหวัดครับ  แต่แหล่งผลิตที่สำคัญๆ  นั่นก็คือ  จังหวัดเชียงใหม่  น่าน  แม่ฮ่องสอน   เชียงราย  มหาสารคาม  ตาก  ลำพูน  เพชรบูรณ์  และ  เพชรบุรี    พื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตกะหล่ำปลีของประเทศไทยในแต่ละปีจะอยู่ในช่วงระหว่าง  45,000 – 60,000  ไร่  และ  129,000 – 185,000   ตัน  ตามลำดับ โดยในปี  2539 / 40  มีพื้นที่ปลูกกะหล่ำปลีถึง  56,018   ไร่  และผลผลิตที่ได้  184,753  ตันครับ

กะหล่ำปลีสามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกชนิด และจะชอบดินโปร่ง  อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตประมาณ  22 – 25  องศาเซลเซียส  มีสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน  อยู่ในช่วง  6 – 6.5   ความชื้นในดินควรมีสูงพอสมควร และได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวันครับ ช่วงนี้พักกันก่อนสักครู่นะครับ ช่วงหน้ามาต่อกันในเรื่องสายพันธุ์ของกะหล่ำปลีกันนะครับ

 

-เพลงคั่นรายการ-

 

กลับมาฟังกันต่อนะครับ คุณผู้ฟังครับ พันธุ์ของกะหล่ำปลีสามารถแยกได้เป็น  3  กลุ่มใหญ่ ๆด้วนกันนะครับ นั่นก็คือ   กะหล่ำปลีธรรมดา เป็นพันธุ์ที่มีการปลูกและบริโภคกันมากที่สุดครับจะมีลักษณะหัวหลายแบบครับ  ตั้งแต่หัวกลม  หัวแหลม  เป็นรูปหัวใจจนถึงกลมแบนราบ มีสีเขียวจนถึงเขียวอ่อน  เป็นพันธุ์ที่ทนร้อน  อายุเก็บเกี่ยวสั้นประมาณ  50 – 60 วัน  พันธุ์ที่นิยมปลูก  ได้แก่  พันธุ์ลูกผสมต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วนะครับ ยังมีพันธุ์ผสมเปิดอื่น ๆ  อีก  เช่น  พันธุ์โคเปนเฮเกนมาร์เก็ต  พันธุ์โกเดนเอเลอร์  กะหล่ำปลีดอง  มีลักษณะหัวค่อนข้างกลมครับ  ใจสีแดงทับทิม และส่วนใหญ่จะมีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ  90  วัน  ต้องการสภาพอากาศหนาวเย็นพอสมควร เมื่อนำไปต้มน้ำจะมีสีแดงคล้ำ พันธุ์ที่นิยมปลูก  ได้แก่  พันธุ์รูบี้บอล  รูบี้เพอเฟคชั่น กะหล่ำปลีใบย่น มีลักษณะผิวใบหยิกย่นและเป็นคลื่นมากต้องการสภาพอากาศหนาวเย็นในการปลูกครับ

คุณผู้ฟังครับ การปลูกกะหล่ำปลีจะต้องมีการเตรียมดินก่อนปลูก  คือการเตรียมแปลงเพาะกล้า  เตรียมดินโดยการขุดไถให้ลึกประมาณ  15 – 20  เซนติเมตร  กว้าง  1  เมตร  ยาวตามความต้องการ  ตากดินไว้ประมาณ  5 – 7  วัน  แล้วคลุกเคล้าด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก   ย่อยดินให้ละเอียดพอสมควร รดน้ำให้ชื้นแล้วทำการหว่านเมล็ดลงไป โดยพยายามหว่านเมล็ดให้กระจายบาง ๆ  ถ้าต้องการปลูกเป็นแถวก็ควรจะทำร่องไว้ก่อนแล้วหว่านเมล็ดตามร่องที่เตรียมไว้  คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งบาง ๆ  เมื่อกล้าออกใบจริงประมาณ  1 – 2  ใบ  ก็ทำการถอนแยกต้นที่แน่นหรืออ่อนแอทิ้ง แปลงปลูก   กะหล่ำปลีที่นิยมปลูกในประเทศไทยมักเป็นพันธุ์เบา  ระบบรากตื้น  ดังนั้นจึงควรเตรียมดินลึกประมาณ   18 – 20  เซนติเมตร   ตากดินทิ้งไว้  5 – 7  วัน   ใส่ปุ๋ยอินทรีย์   เช่น ปุ๋ยคอก  ปุ๋ยหมัก  ในปริมาณที่มากพอสมควร เพื่อปรับสภาพและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยเฉพาะในดินทรายและดินเหนียว    จากนั้นย่อยผิวหน้าดิน   ให้มีก้อนเล็กแต่ไม่ต้องละเอียดจนเกินไป  ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวนะครับเพื่อปรับสภาพดินให้มีความเหมาะสมต่อการปลูกครับ

เมื่อกล้ามีอายุได้ประมาณ    25 – 30   วัน  จึงย้ายไปปลูกในแปลงปลูกที่เตรียมไว้ครับ   โดยให้มีระยะปลูก  30 – 40 X  30 – 40  เซนติเมตร    การปลูกอาจปลูกเป็นแบบแถวเดียวหรือแถวคู่ก็ได้   ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของสวนผัก

 

-เพลงคั่นรายการ-

 

กลับมาฟังกันต่อครับ คุณผู้ฟังครับกะหล่ำปลีเป็นพืชที่ต้องการธาตุไนโตรเจนและโพแทสเซียมสูง   เพื่อใช้ในการสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ต้นพืช ปุ๋ยที่แนะนำให้ใช้  นั่นคือ  ปุ๋ยสูตร  13 – 13 – 21  หรือ  14 – 14 – 21  โดยแบ่งใส่  2  ครั้ง    คือ  ครั้งที่  1  ใส่รองพื้นขณะปลูก  แล้วพรวนกลบลงในดิน  ครั้งที่  2  ใส่หลังจากกะหล่ำปลีมีอายุได้  7 – 14  วัน   นอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจน  เช่น  ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตหรือปุ๋ยยูเรีย   ควบคู่ไปด้วยครับ  ซึ่งการใส่ปุ๋ยนี้ก็แบ่งใส่  2  ครั้ง  เช่นกัน  คือ ใส่เมื่อกะหล่ำปลีมีอายุได้  20  วันและ  40  วัน  ตามลำดับ  โดยใส่โรยข้าง ๆ  ต้นกะหล่ำปลีนั่นเองครับ

การให้น้ำ  ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ  โดยปล่อยน้ำไปตามร่องระหว่างแปลงประมาณ  7 – 10  วันต่อครั้ง   ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งจำเป็นต้องให้น้ำเพิ่มมากขึ้นตามความเหมาะสม  และเมื่อกะหล่ำปลีเข้าปลีเต็มที่แล้วควรลดปริมาณน้ำให้น้อยลง  เพราะหากกะหล่ำปลีได้รับน้ำมากเกินไปจะทำให้ปลีแตกเสียหายได้       การพรวนดินและการกำจัดวัชพืช   ในระยะแรก ๆ  ควรปฏิบัติดูแลรักษาบ่อย ๆ  เพราะวัชพืชจะเป็นตัวแย่งอาหารในดินรวมทั้งเป็นที่อาศัยของโรคและแมลงอีกด้วยครับ

มาฟังอายุการเก็บเกี่ยวของกะหล่ำปลีกันครับ ตั้งแต่ปลูกจนถึงวันเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละพันธุ์   สำหรับพันธุ์เบาที่นิยมปลูกจะมีอายุประมาณ   50 – 60 วัน  ส่วนพันธุ์หนักมีอายุประมาณ  120  วัน

การเก็บควรเลือกหัวที่ห่อแน่นและมีขนาดพอเหมาะ โดยกะหล่ำปลี  1 หัว   มีน้ำหนักประมาณ   2 – 3  กิโลกรัม    ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนเกินอายุการเก็บเกี่ยว เพราะหัวจะหลวม ทำให้คุณภาพลดลง และการเก็บนั้นให้ใช้มีดตัดใบนอกหุ้มติดหัวมาด้วย   เพราะจะทำให้เก็บรักษาได้ตลอดวัน  เมื่อตัดและขนออกนอกแปลงแล้วให้ตัดแต่งใบนอกออกเหลือเพียง  2 – 3  ใบ เพื่อป้องกันความเสียหายเนื่องจากการบรรจุและขนส่ง  จากนั้นคัดแยกขนาดแล้วบรรจุถุงจำหน่ายต่อไปครับ ช่วงนี้พักกันก่อนสักครู่นะครับ ช่วงหน้ามาฟังเรื่องโรคของผักชนิดนี้กันครับ

-เพลงคั่นรายการ-

 

กลับมาฟังกันต่อนะครับ คุณผู้ฟังครับกะหล่ำปลีมีโรคที่สำคัญคือ   โรคเน่าของกะหล่ำปลี   โรคนี้พบได้เกือบทุกระยะครับ  แรกพบเป็นจุดหรือบริเวณที่มีลักษณะฉ่ำน้ำคล้ายรอยซ้ำ ต่อมาแผลจะขยายลุกลามออกไป  ทำให้เกิดการเน่าและเป็นเมือกเยิ้มมีกลิ่นเหม็นจัด  เมื่ออาการรุนแรงจะทำให้กะหล่ำปลีเน่าเละทั้งหัวและเหี่ยวพับลง สามารถป้องกันได้โดยระมัดระวังอย่าให้เกิดแผลและรอยซ้ำทั้งขณะเก็บเกี่ยวและขนส่ง   ป้องกันและกำจัดพาหนะของโรค    โดยเฉพาะหนอนคืบ   กำจัดเศษวัชพืชออกจากแปลงและนำไปเผาไฟ  รวมทั้งทำลายต้นที่เป็นโรคทิ้งไปเลยครับ  โดยไม่ไถกลบทิ้งไว้ในแปลง    ควรจัดให้มีการระบายน้ำที่ดีในแปลงเพาะปลูก ควรเก็บผักหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วไว้ที่อุณหภูมิต่ำประมาณ  10  องศาเซลเซียส และใช้ปุ๋ยที่มีธาตุโบรอนผสม เพื่อป้องกันและกำจัดโรคไส้กลวงดำที่มักจะเกิดร่วมกับโรคเน่าเละครับ

อีกโรคหนึ่งคือ โรคเน่าดำ  เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  ซึ่งจะเข้าทำลายทางรูใบที่อยู่ตามขอบใบ ลักษณะอาการ ใบจะแห้งจากด้านขอบใบเข้าไปเป็นรูปสามเหลี่ยมมีปลายแหลมชี้ไปที่เส้นกลางใบ   เนื้อเยื่อที่แห้งจะมีเส้นใยสีดำเห็นชัดเจน อาการใบแห้งจะลุกลามไปจนถึงเส้นกลางใบและก้านใบ  ทำให้เกิดอาการใบเหลืองเหี่ยวและแห้งตาย   กะหล่ำปลีจะชงักการเจริญเติบโตและอาจตายได้  โดยเชื้อราบักเตรีที่เป็นสาเหตุของโรคนี้จะอาศัยอยู่ในดิน เมื่อฝนตกจะระบาดไปทั่ว นอกจากนี้ยังสามารถติดไปกับเมล็ดผักได้อีกด้วยครับ

มีการป้องกันโดย ก่อนนำเมล็ดพันธุ์ผักไปปลูก ควรแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิประมาณ   50 – 55 องศาเซลเซียส  เป็นเวลา  20 – 30  นาที  เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ติดอยู่ในเมล็ด    ไม่ปลูกพืชตระกูลกะหล่ำติดต่อกันเกิน  3  ปี  เพราะจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรค

โรคเน่าคอดิน  สาเหตุเกิดจากเชื้อรา   ลักษณะอาการ  โรคนี้จะเกิดขึ้นในแปลงกล้าโดยเฉพาะการหว่านต้นกล้าที่แน่นทึบเกินไป  ต้นกล้าจะเกิดอาการเป็นแผลช้ำที่โคนต้นระดับผิวดิน  เนื้อเยื่อบริเวณแผลเน่าและแห้งไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อถูกแสงแดด  และต้นกล้าจะหักพับเหี่ยวแห้งตายในเวลาอันรวดเร็ว   การป้องกัน คือ ไม่ควรหว่านเมล็ดพันธุ์กะหล่ำปลีแน่นเกินไป  ใช้น้ำปูนใสรอแทนน้ำในระยะที่เป็นต้นกล้า   ทำทางระบายน้ำให้ดี  ไม้ให้มีน้ำขังแฉะในแปลงกล้า

โรคราน้ำค้าง  เกิดจากเชื้อรา   ลักษณะอาการ  จะระบาดมากในระยะที่กะหล่ำปลีเป็นต้นกล้า   ส่วนระยะต้นโตจนห่อตัวแล้วพบการระบาดไม่มากนัก   ดังนั้นการป้องกันกำจัดจึงเน้นให้กระทำในระยะเป็นต้นกล้า    โอกาสที่โรคนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความชื้นในอากาศค่อนข้างสูงและอุณหภูมิต่ำอาการเมื่อมองจากด้านบนใบจะเห็นเป็นปื้นสีเหลืองจาง ๆ   ลักษณะเหมือนเยื่อใบเปลี่ยนสีเล็กน้อย  เมื่อพลิกด้านใต้ใบขึ้นมาดูหลังใบตรงบริเวณปื้นสีเหลืองจะเห็นขุยสีขาว  โดยอาการจะสังเกตได้ง่าย ในช่วงอากาศเย็นและมีน้ำค้าง  ถ้าแดดจัดเส้นใบอาจหลุดไปทำให้สังเกตได้ยาก    การป้องกันกำจัด คือ  คลุกเมล็ดด้วยสารเมตาแลกซิล   หากไม่ได้คลุกเมล็ดก่อนปลูก   แล้วเกิดอาการโรคราน้ำค้างให้ฉีดพ่นด้วยสารเมตาแลกซิล  แมนโคเซป    โดยก่อนพ่นควรสังเกตจนมั่นใจว่าโรคราน้ำค้างที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ  นั้นมีค่อนข้างจำกัด

 

-เพลงคั่นรายการ-

 

คุณผู้ฟังครับ แมลงศัตรูพืชที่สำคัญของกะหล่ำปลี   คือ  หนอนใยผัก  หนอนใยผักเป็นหนอนผีเสื้อที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาหนอนผีเสื้อศัตรูผัก  มีลักษณะหัวท้ายแหลม  เมื่อถูกจะดิ้นอย่างแรงและทิ้งตัวลงดินโดยการสร้างใยมักจะพบตัวแก่ตามใบโดยเกาะในลักษณะยกหัวขึ้น  หนอนใยผักเกิดจากการที่แม่ผีเสื้อวางไข่ไว้  ไข่มีขนาดเล็กค่อนข้างแบนสีเหลืองวางติดกัน  2 – 5   ฟอง   อายุไข่ประมาณ  3   วัน  อายุดักแด้  3 – 4   วัน   ตัวเต็มวัยมีสีเหลืองเทา   ตรงส่วนหลังมีแถบสีเหลืองอายุตัวเต็มวัย  1   สัปดาห์    การทำลายของหนอนใยผักจะกัดกินผักอ่อนดอก  หรือผิวด้านล่างของกะหล่ำปลีที่หุ้มอยู่    ทำให้ใบเป็นรูพรุนเสียคุณภาพ   หนอนใยผักมีความสามารถในการทนทานต่อสารเคมี  และปรับตัวต้านทานต่อสารเคมีป้องกันกำจัดได้รวดเร็วในแหล่งที่มีการใช้สารเคมีชนิดนั้น ๆ เป็นประจำ    สามารถป้องกันและกำจัดได้โดย  การใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง  เพื่อจับตัวเต็มวัยของหนอนใยผัก    ใช้เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัสทรูรินเจนซิส ทำลาย    หมั่นตรวจดูแปลงกะหล่ำปลี  เมื่อพบตัวหนอนควรรีบทำลายทันที   ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรการระบาด

หนอนกระทู้ผักมักพบบ่อยในพวกผักกาด  โดยจะกัดกินใบ ก้านหรือในหัวปลี  มักจะเข้าทำลายเป็นหย่อม ๆ  ตามจุดที่ผีเสื้อว่างไข่   หนอนชนิดนี้สังเกตได้ง่าย    คือ   ลำต้นอ้วนป้อมผิวหนังเรียบคล้ายหนอนกระทู้หอม    มีสีสันต่าง ๆ กัน   มีแถบสีขาวข้างลำตัวแต่ไม่ค่อยชัดนัก   เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาด  3 – 4  เซนติเมตร   เคลื่อนไหวช้า  ระยะหนอนประมาณ  15 – 20  วัน  และจะเข้าดักแด้ตามผิวดินประมาณ  7 – 10  วัน   การป้องกันทำได้โดย  หมั่นตรวจดูแปลง  เมื่อพบหนอนกระทู้ผักควรทำลายเสียเพื่อป้องกันไม่ให้มีการะบาดลุกลามต่อไป     ฉีดพ่นสารเคมี  เช่น  เมโธมิล  อัตรา  10 – 12  กรัมต่อน้ำ  20  ลิตร   หรืออาจใช้เมวินพอส  20 – 30  ซี .ซี  ต่อน้ำ  20  ลิตร

หนอนเจาะยอดกะหล่ำปลี  จะพบระบาดทำความเสียหายให้กับพืชไร่ตระกูลกะหล่ำ  โดยหนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินในหัวหรือยอดผักที่กำลังเจริญเติบโต  ทำให้ยอดขาดไม่เข้าหัว   ถ้าระบาดในระยะออกดอกจะเจาะเข้าไปในลำต้นก้านดอก  หรือในระยะที่ต้นยังเล็กอยู่  จะกัดกินดอกเสียหาย       ควรปฏิบัติดูแลตั้งแต่ระยะแรก  โดยการเลือกกล้าผักที่ไม่มีไข่หรือหนอนขนาดเล็กติดมา  จะช่วยป้องกันไม่ให้หนอนเข้าไปทำลายส่วนสำคัญของพืช  เช่น  หัวหรือก้านดอกได้  นอกจากนี้อาจใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัด       โดยหากเป็นแหล่งปลูกผักที่ไม่ค่อยมีการใช้สารเคมีมาก่อนควรใช้เมวินพอสหรือเมทโธมิล  และถ้าเป็นแหล่งที่เคยปลูกผักและมีการใช้สารเคมีมาก่อนควรเลือกใช้สารในกลุ่มไพรีทอยด์สังเคราะห์  ในอัตรา  20 – 30  ซี.ซี   วิธีการใช้สารเคมีทั้งสองชนิดนี้  คือ  ใช้เมื่อพบไข่หรือหนอนเริ่มเข้าทำลาย  ช่วงเวลาพ่นประมาณ  7  วัน / ครั้ง

ด้วงหมักผักมี   2   ชนิด  คือ  ชนิดสีน้ำเงิน  และชนิดแถบลายลักษณะการทำลายตัวแก่จะเข้ากัดกินใบให้เป็นรูพรุน   และตัวอ่อนที่อาศัยอยู่ในดินจะเข้ากัดกินส่วนรากและโคนต้น   ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต  ต้นเหี่ยวเฉา    ป้องกันได้โดย  ไถตากดิน  เพื่อทำลายตัวอ่อนและดักแด้ที่อาศัยอยู่ในดิน    ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรการระบาด   ใช้สารเคมีกลุ่มคาร์บาเมท  ในแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่มีการระบาดรุนแรง    ฉีดพ่นในอัตราใช้ตามฉลากคำแนะนำ     กรณีที่ปลูกกะหล่ำปลีในพื้นที่เดิมบ่อย ๆ  และด้วงหมัดผักเริ่มแสดงอาการต้านทานต่อสารเคมี  ให้ใช้สารเคมีกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟท  อัตราการใช้ตามฉลากคำแนะนำ

คุณผู้ฟังครับกะหล่ำปลีเป็นผักที่มีประโยชน์สูง  และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค  แต่เกษตรกร ควรมีการดูแลการปลูกที่ดีจะทำให้ได้กะหล่ำที่มีคุณภาพ   และถ้าสามารถทำให้กะหล่ำปลีปลอดภัยจากสารพิษได้แล้วละก็  ผักของท่านจะต้องเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแน่นนอน  และเวลาสำหรับรายการ  “  จากแฟ้มงานวิจัย  มก. “  ในวันนี้ก็หมดเวลาลงแล้ว  พบกับรายการนี้ได้ใหม่ในสัปดาห์หน้า  ทางสถานีวิทยุ  มก. แห่งนี้  สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

 

 

……………………………………………………………………………………………….