ข้าวโพดฝักอ่อน เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่
20 อุตสาหกรรมข้าวโพดฝักอ่อนเริ่มต้นในไต้หวันและย้ายมาในประเทศไทยในปี พ.ศ.
2512 และอุตสาหกรรมข้าวโพดฝักอ่อนมาประสบความสำเร็จในประเทศไทย ข้าวโพดฝักอ่อนจัดเป็นพืชผักอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของประเทศ
โดยเริ่มส่งออกข้าวโพดฝักอ่อนบรรจุกระป๋อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511-2514 ในปริมาณที่ไม่มากนัก
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 ส่งออกได้ 378 ตัน คิดเป็นมูลค่า 3.9 ล้านบาท ข้าวโพดฝักอ่อน
จัดเป็นพืชผักอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเริ่มส่งออกข้าวโพดฝักอ่อนบรรจุกระป๋อง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511-2514 ในปริมาณที่ไม่มากนัก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 ส่งออกได้
378 ตัน คิดเป็นมูลค่า 3.9 ล้านบาท และในปี พ.ศ. 2544 ส่งออกเพิ่มขึ้นถึง
61,461 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1,784.2 ล้านบาท โดยส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ฯลฯ และยังได้ส่งข้าวโพดฝักอ่อนสดไปยังประเทศอังกฤษ
ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ฯลฯ จำนวน 4,544 ตัน คิดเป็นมูลค่า 184.9 ล้านบาท โดยเป็นผู้ส่งออกอันดับ
1 ของโลกติดต่อกันเป็นเวลาร่วม 20 ปี นอกจากนี้ ยังมีการบริโภคข้าวโพดฝักอ่อนสดในประเทศ
ไม่ต่ำกว่าปีละ 4,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ในปีเพาะปลูก
2544/2545 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูก 231,865 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 1,307 กก./ไร่
และมีปริมาณผลผลิต 286,885 ตัน การผลิตข้าวโพดฝักอ่อนให้ผลพลอยได้จากส่วนที่เหลือของข้าวโพดฝักอ่อน
เช่น เปลือก ไหม และต้น นำมาใช้เป็นอาหารหยาบเลี้ยงโคเนื้อและโคนมได้เป็นอย่างดี
ประเทศไทยเริ่มผลิตข้าวโพดฝักอ่อนโดยใช้พันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
(เช่น พันธุ์กัวเตมาลา) ข้าวโพดหวาน และข้าวโพดเทียน แต่พันธุ์เหล่านี้ไม่ต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง
และเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานมีราคาสูง เกษตรกรจึงหันมาใช้ข้าวโพดไร่พันธุ์สุวรรณ
2 ซึ่งเมล็ดพันธุ์มีราคาถูกกว่าและต้านทานโรคราน้ำค้าง แต่ให้ผลผลิตค่อนข้างต่ำ
เทคโนโลยีในการผลิตข้าวโพดฝักอ่อนที่แนะนำให้ใช้ คือ วิธีการถอดยอด
|
|
ข้าวโพดฝักอ่อนพันธุ์ผสมเปิด
ข้าวโพดฝักอ่อนพันธุ์ผสมเปิดของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นผลพลอยได้จากการปรับปรุงพันธุ์ผสมเปิดของข้าวโพดไร่ คือ พันธุ์สุวรรณ
2 และการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์
มาทดลองผลิตเป็นข้าวโพดฝักอ่อนโดยใช้วิธีการถอดยอด และพบว่า มีลักษณะฝักอ่อนและสีตรงตามความต้องการของโรงงาน
นอกจากนี้ เกษตรกรยังสามารถเก็บเมล็ดใช้ทำพันธุ์ต่อได้ 2-3 ชั่ว พันธุ์ผสมเปิดทั้งสองพันธุ์ได้นำมาใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมในการสกัดสายพันธุ์แท้
เพื่อใช้ในการสร้างข้าวโพดฝักอ่อนลูกผสม พันธุ์ข้าวโพดฝักอ่อนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่แนะนำสู่เกษตรกร
มีดังนี้
พันธุ์สุวรรณ 2 ฝักอ่อนสีเหลืองสีครีม
มีขนาดตรงความต้องการของโรงงาน สามารถปลูกถี่ได้จำนวนต้นประมาณ 20,000 ต้น/ไร่
โดยใช้ระยะปลูกระหว่างแถว 75 ซม.และระหว่างต้น 20 ซม. จำนวน 2 ต้น/หลุม หรือระยะระหว่างแถว
50 ซม. และระหว่างต้น 50 ซม.จำนวน 3 ต้น/หลุม เนื่องจาก มีต้นสูงปานกลางและมีระบบรากแข็งแรง
นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็ว และต้านทานต่อโรคราน้ำค้าง
ลักษณะประจำพันธุ์สุวรรณ 2
ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักทั้งเปลือกประมาณ 743 กก./ไร่ น้ำหนักฝักปอกเปลือก 118
กก./ไร่ น้ำหนักฝักมาตรฐาน 80 กก./ไร่ มีจำนวนฝัก 2-3 ฝัก/ต้น ฝักอ่อนมีความยาว
7-10 ซม. ความกว้างฝัก 1-1.5 ซม. ฝักมีสีเหลืองครีม มีน้ำหนักฝักทั้งเปลือกต่อน้ำหนักฝักปอกเปลือก
7:1 มีอายุเก็บเกี่ยวครั้งแรกหลังจากปลูก 42-45 วัน มีช่วงเก็บเกี่ยวประมาณ
7-10 วัน ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมทั่วไป และต้านทานโรคราน้ำค้าง
พันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต1
ดีเอ็มอาร์ มีคุณภาพฝักอ่อนดีมากให้รสชาติหวาน ฝักมีสีหลืองเข้ม มีไข่ปลาหรือรังไข่
สวย และแถวเรียงตรง แต่มีต้นสูงใหญ่ ทำให้ล้มง่ายเมื่อปลูกถี่ มีอายุเก็บเกี่ยวช้ากว่าพันธุ์สุวรรณ
2 ต้านทานโรคราน้ำค้างต่ำกว่า และมีราคาเมล็ดพันธุ์สูงกว่าพันธุ์สุวรรณ 2
ลักษณะประจำพันธุ์ พันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต1
ดีเอ็มอาร์ ให้ผลผลิตน้ำหนักทั้งเปลือก 1,000-1,200 กก./ไร่ น้ำหนักฝัก
150-180 กก./ไร่ น้ำหนักฝักมาตรฐาน 130-150 กก./ไร่ มีจำนวนฝัก 1-2 ฝัก/ต้น
ฝักอ่อนมีความยาว 9-11 ซม. ความกว้างฝัก 1-1.5 ซม. ฝักมีสีเหลืองเข้ม น้ำหนักฝักทั้งเปลือกต่อน้ำหนักปอกเปลือก
7.5 : 1, มีอายุเก็บเกี่ยวครั้งแรก 55-60 วัน มีช่วงเก็บเกี่ยวประมาณ 10
วัน ต้านทานต่อโรคราน้ำค้างปานกลาง
|