การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดหวานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Research and Development of Sweet Corn Variety of Kasetsart University
................................................................................................................................................
โชคชัย เอกทัศนาวรรณ1 สรรเสริญ จำปาทอง1 ชไมพร เอกทัศนาวรรณ2 นพพงศ์ จุลจอหอ1
ฉัตรพงศ์ บาลลา1 ทศพล ทองลาภ1 และ ธวัช ลวเปารยะ3
1 ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาด้านพืชศาสตร์
2 โครงการจัดตั้งวิทยาเขตลพบุรี และ 3 ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ข้าวโพดหวาน เป็นพืชผักอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าส่งออกอันดับสองรองจากข้าวโพดฝักอ่อน ของประเทศไทย เพื่อใช้ในการบริโภคฝักสด และการแปรรูปบรรจุกระป๋องทั้งเมล็ด แบบครีม และน้ำนมข้าวโพด แช่แข็งทั้งเมล็ดและทั้งฝัก บรรจุทั้งฝักในถุงสูญญากาศ และแบบเมล็ดแห้ง ในปี พ.ศ. 2544 ประเทศไทยส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องเป็นปริมาณ 35,848.03 ตัน คิดเป็นมูลค่า 979.458 ล้านบาท และส่งออกข้าวโพดหวานแช่แข็งปริมาณ 1,211.59 ตัน มูลค่า 48.285 ล้านบาท รวมส่งออก 37,059.62 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1,027.744 ล้านบาท ในปีเพาะปลูก 2544/2545 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูก 216,535 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 1,812 กก./ไร่ และมีปริมาณผลผลิต 361,099 ตัน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดหวานลูกผสมเดี่ยวที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูง มีคุณภาพในการรับประทานที่ดี และต้านทานต่อโรคและแมลง เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร และโรงงานแปรรูป ให้สามารถแข่งขันกับประเทศผู้ส่งออกอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดหวานยังมีผลพลอยได้จากส่วนที่เหลือของข้าวโพดหวาน เช่น เปลือก ไหม และต้น ซึ่งนำมาใช้เป็นอาหารหยาบเลี้ยงโคเนื้อและโคนมได้เป็นอย่างดี
การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานในประเทศไทยนั้น Professor Dr. James L. Brewbaker จาก University of Hawaii ได้มาปฏิบัติงานวิจัยที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ในช่วงปี พ.ศ. 2510-2511 และได้แนะนำพันธุ์ข้าวโพดหวานพิเศษ Hawaiian Supersweet Comp. 1 สำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2511 ต่อมา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวาน โดยนำพันธุ์ข้าวโพดหวานที่มียีนควบคุมความหวานชังเค่นทู (shrunken-2) ดังกล่าว และยีนบริทเทิ่ลวัน (brittle-1) จากต่างประเทศ ซึ่งมีคุณภาพในการรับประทานที่ดีมาปลูก แต่พันธุ์เหล่านี้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย จึงนำพันธุ์ดังกล่าวมาผสมกับพันธุ์ข้าวโพดไร่ที่ดีเด่นของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อให้ต้านทานต่อโรคและแมลง และปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย พัฒนาเป็นพันธุ์ผสมเปิด และใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมในการสกัดสายพันธุ์แท้ เพื่อสร้างพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวที่ดีสำหรับการบริโภคฝักสดและการแปรรูป
ข้าวโพดหวานพันธุ์ผสมเปิด
วัตถุประสงค์ของการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดหวานพันธุ์ผสมเปิด เพื่อสร้างพันธุ์ข้าวโพดหวานที่สามารถปรับตัวได้ในสภาพแวดล้อมที่กว้าง เมล็ดพันธุ์มีราคาถูก และเกษตรกรสามารถเก็บเมล็ดใช้ทำพันธุ์ต่อได้ 2 - 3 ชั่ว นอกจากนี้ ยังใช้เป็นแหล่งพันธุกรรมในการพัฒนาสายพันธุ์แท้ เพื่อใช้ในการสร้างลูกผสม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เผยแพร่พันธุ์พันธุ์ผสมเปิดที่ควบคุมด้วยยีนชังเค่นทูสู่เกษตรกร จำนวน 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ซูเปอร์สวีทดีเอ็มอาร์ และพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ ในปี พ.ศ. 2518 และ 2522 ตามลำดับ และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อพันธุ์ซูเปอร์สวีทโดยเฉพาะก่อนยุคพันธุ์ลูกผสม นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังได้นำพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ ไปพัฒนาเป็นพันธุ์ซูเปอร์อาร์โก้ โดยคัดเลือกฝักให้มีขนาดใหญ่ รวมทั้งการนำพันธุ์ดังกล่าวไปสกัดสายพันธุ์เพื่อใช้ในการสร้างพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว และเป็นที่นิยมปลูกของเกษตรกรในปัจจุบัน
พันธุ์ซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ พันธุ์นี้ได้จากการผสมระหว่างข้าวโพดหวานพันธุ์ฮาวายเอี้ยนซูเปอร์สวีท ผสมกับข้าวโพดไร่พันธุ์ฟิลิปปินส์ดีเอ็มอาร์ 3 ในปี พ.ศ. 2515 และได้รับการคัดเลือกแบบรวม (mass selection) ในแปลงระบาดเทียมของโรคราน้ำค้าง รวม 4 ครั้ง และเผยแพร่สู่เกษตรกรในปี พ.ศ. 2518 จนถึงปี พ.ศ. 2522 พันธุ์นี้เป็นพันธุ์แรกของประเทศไทยที่เกษตรกรสามารถปลูกได้ในฤดูฝน ในขณะที่ข้าวโพดหวานพันธุ์พื้นเมืองและพันธุ์ต่างประเทศไม่สามารถปลูกได้ เพราะอ่อนแอต่อโรคราน้ำค้าง จึงเป็นโรคอย่างรุนแรง และในขณะนั้นยังไม่มีสารเคมีป้องกันโรคนี้
ลักษณะประจำพันธุ์ซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ มีเมล็ดสีเหลืองเข้ม มีความหวาน 13-15 % brix ต้านทานโรคราน้ำค้างประมาณ 60 %
พันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ เป็นพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความต้านทานโรคราน้ำค้างให้สูงขึ้น โดยนำพันธุ์ซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ มาผสมตัวเอง 3 ครั้ง ในแต่ละครั้งมีการทดสอบความต้านทานโรคราน้ำค้างของสายพันธุ์ในแปลงรระบาดเทียม และลักษณะทางการเกษตร และนำสายพันธุ์ผสมตัวเองชั่วที่ 3 ที่ต้านทานโรคราน้ำค้าง 80% มาผสมรวมกันเป็นพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ และเผยแพร่ให้เกษตรกรปลูกในปี พ.ศ. 2522 พันธุ์นี้เหมาะสำหรับรับประทานฝักสด หรือส่งโรงงานแปรรูป ปัจจุบัน ไม่นิยมนำพันธุ์นี้มาใช้แปรรูป เพราะให้ผลผลิตต่ำ และมีความแปรปรวนของผลผลิตและลักษณะทางการเกษตรสูง แต่เกษตรกรยังมีการนำมาใช้ผลิตเพื่อรับประทานฝักสด และถูกแทนที่โดยข้าวโพดหวานพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวอย่างรวดเร็ว
ลักษณะประจำพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักทั้งเปลือกเฉลี่ย 1,500 กก./ไร่ น้ำหนักฝักปอกเปลือก 850 กก./ไร่ มีความหวาน 13.7% brix มีรสชาติและความนุ่มปานกลางฝักยาว 20 ซม. กว้าง 4 ซม. เมล็ดเรียงตัวเป็นแถวตรงมี 14 แถวต่อฝัก เมล็ดมีสีเหลืองทอง มีความสูงต้น 210 ซม ความสูงฝัก 119 ซม. มีอายุวันสลัดละอองเกสร 50% 55 วัน วันออกไหม 50% 57 วัน อายุเก็บเกี่ยว 75 วัน เหมาะสำหรับตลาดฝักสด

ข้าวโพดหวานพันธุ์ลูกผสม

ข้าวโพดหวานพันธุ์ลูกผสมเดี่ยว มีความสม่ำเสมอสูงในลักษณะผลผลิต และมีคุณภาพในการรับประทานที่ดี นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันซึ่งเป็นที่ต้องการของโรงงานแปรรูป รวมทั้งตลาดฝักสดในระดับซูเปอร์มาร์เก็ต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เผยแพร่ข้าวโพดหวานพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวให้เกษตรกรและโรงงานแปรรูปปลูกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีจำนวน 4 พันธุ์ ดังนี้
พันธุ์ลูกผสมเดี่ยว 27127 ได้มาจากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้ SSWI 27 กับสายพันธุ์แท้ SSWI 127 สายพันธุ์แท้ทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ ได้มาจากการนำสายพันธุ์ผสมตัวเองชั่วที่ 3 ซึ่งใช้ในการผสมรวมเป็นพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ มาผสมตัวเองต่อเป็นสายพันธุ์ผสมตัวเองชั่วที่ 7 และผ่านการผสมกับตัวทดสอบ และการผสมแบบพบกันหมดระหว่างสายพันธุ์แท้ที่คัดเลือก และคัดเลือกได้ลูกผสมเดี่ยวที่ดี คือ พันธุ์ 27127 และได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในปี พ.ศ. 2531
ลักษณะประจำพันธุ์ 27127 ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักทั้งเปลือกประมาณ 1,500 กก./ไร่ น้ำหนักฝักปอกเปลือก 1,000 กก./ไร่ มีความหวาน 15% brix มีรสชาติ และความนุ่มปานกลาง ฝักมีขนาดใหญ่ ยาว 19.2 ซม. มีความกว้าง 4.3 ซม. เมล็ดเรียงตัวเป็นแถวตรงมี 14 แถวต่อฝัก เมล็ดมีสีเหลืองทองเรียงตัวเป็นระเบียบ มีความสูงต้น 179 ซม ความสูงฝัก 97 ซม. มีอายุวันสลัดละอองเกสร 50% 53 วัน วันออกไหม 50% 55 วัน อายุเก็บเกี่ยว 73 วัน เหมาะสำหรับตลาดฝักสดและโรงงานแปรรูป
พันธุ์ลูกผสมเดี่ยว 11476 ได้มาจากการผสมกันระหว่างสายพันธุ์แท้ SSWI 114 กับสายพันธุ์แท้ SSWI 76 สายพันธุ์แท้ทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ชุดเดียวกันกับสายพันธุ์แท้ SSWI 27 และ SSWI 127 ซึ่งได้มาจากการนำสายพันธุ์ผสมตัวเองชั่วที่ 3 ที่ใช้ในการผสมรวมเป็นพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ โดยนำมาผสมตัวเองต่อเป็นสายพันธุ์ผสมตัวเองชั่วที่ 7 ได้ผ่านการผสมกับตัวทดสอบ และการผสมแบบพบกันหมดระหว่างสายพันธุ์แท้ที่ดี แล้วคัดเลือกได้ลูกผสมเดี่ยวที่ดี คือ พันธุ์ 11476 และแนะนำให้เกษตรกรปลูกในปี พ.ศ. 2532
ลักษณะประจำพันธุ์ 11476 ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักทั้งเปลือกประมาณ 1,500 กก./ไร่ น้ำหนักฝักปอกเปลือก 1,000 กก./ไร่ มีความหวาน 14.5% brix รสชาติหวานและความนุ่มดีมาก ฝักเล็กมีความยาว 16.8 ซม. กว้าง 3.8 ซม. เมล็ดสีเหลืองอ่อนมี 14-16 แถว มีความสูงต้น 151 ซม ความสูงฝัก 84 ซม. มีอายุวันสลัดละอองเกสร 50% 50 วัน วันออกไหม 50% 52 วัน อายุเก็บเกี่ยว 70 วัน มี 1-2 ฝักต่อต้น เหมาะสำหรับตลาดฝักสด
ลูกผสมเดี่ยวพันธุ์อินทรี 1 การสร้างพันธุ์เริ่มในปี พ.ศ. 2531-2534 โดยนำพันธุ์ไทยซูเปอร์สวีทคอมพอสิต 1 ดีเอ็มอาร์ (TSC 1 DMR) มาสกัดสายพันธุ์และพัฒนาเป็นสายพันธุ์ผสมตัวเองชั่วที่ 9 คัดเลือกแล้วนำสายพันธุ์แท้ที่ดีจำนวน 6 สายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์แท้ SSWI 114 และ SSWI 76 มาผสมแบบพบกันหมด ทดสอบพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวที่ได้ทั้งหมด และพันธุ์เปรียบเทียบ 2 พันธุ์ (TSC 1 DMR และ HSX 27127) ในต้นและปลายฤดูฝน พ.ศ. 2535 ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา คัดเลือกได้ลูกผสมเดี่ยวที่ให้ผลผลิตและคุณภาพในการรับประทานสูง คือ พันธุ์อินทรี 1 หรือ KSSC 332 ซึ่งได้จากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้ SSWI 114 และ TSC 1 DMR-S8-8-2-2 (KSei 306) ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติได้เผยแพร่พันธุ์อินทรี 1 สู่เกษตรกรในปี พ.ศ. 2538
ลักษณะประจำพันธุ์อินทรี 1 ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักทั้งเปลือกเฉลี่ย 1,855 กก./ไร่ น้ำหนักฝักปอกเปลือก 1,221 กก./ไร่ มีความหวาน 14.7% brix มีความอ่อนนุ่มสูง และรสชาติดี มีความยาวฝัก 17.3 ซม. ความกว้างฝัก 3.9 ซม. มีความสูงต้น 164 ซม. ความสูงฝัก 86 ซม. มีอายุวันสลัดละอองเกสร 50% 50 วัน วันออกไหม 50% 51 วัน อายุเก็บเกี่ยว 69 วัน เหมาะสำหรับตลาดฝักสด
พันธุ์อินทรี 1 ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น สาขาพืช เรื่อง การวิจัยและพัฒนาข้าวโพดหวานลูกผสมเดี่ยว : พันธุ์อินทรี 1 ในการประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 33 30 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2538 และรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ทุนอุดหนุนวิจัย มก. สาขาเกษตรศาสตร์ ในโอกาสครบรอบการสถาปนาปีที่ 20 สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ 2 ตุลาคม 2541

 
ลูกผสมเดี่ยวพันธุ์อินทรี 2 พัฒนามาจากการผสมกันระหว่างสายพันธุ์แท้ SSWI 114 กับสายพันธุ์แท้ KSei 14004 หรือ [(sh2 Syn 29 x KS 1) x Suwan 3(S)C4]-F4-S8-24-2-4-2-2 ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติได้เผยแพร่ให้เกษตรกรและโรงงานแปรรูปปลูกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยมีความต้องการเมล็ดพันธุ์ปีละประมาณ 25 ตัน สามารถนำไปปลูกได้ในพื้นที่ 25,000 ไร่
ลักษณะประจำพันธุ์อินทรี 2 มีน้ำหนักฝักสดทั้งเปลือก 2,097 กก./ไร่ น้ำหนักฝักสดปอกเปลือกที่ดี 1,422 กก./ไร่ ให้เปอร์เซ็นต์เมล็ดที่ตัด 35% มีความหวาน 15% brix มีความนุ่ม และรสชาติดี ฝักยาว 17 ซม. กว้าง 4.5 ซม. มี 14-16 แถว ต้านทานโรคทางใบ (โรคราสนิม, โรคใบไหม้แผลเล็ก โรคใบไหม้แผลใหญ่ และโรคไวรัสใบด่างอ้อย) ปานกลาง มีเปลือกหุ้มฝักปิดมิดชิด เมล็ดไม่ยุบตัวเร็ว ฝักสีเหลือง ทรงกระบอก แถวเมล็ดเรียงตัวสม่ำเสมอ มีความสูงของต้น 198 ซม. ความสูงฝัก 106 ซม. มีอายุวันสลัดละอองเกสร 50% 49 วัน อายุวันออกไหม 50% 50 วัน อายุเก็บเกี่ยว 68 วัน เหมาะสำหรับตลาดฝักสดและอุตสาหกรรมแปรรูป