อาจารย์หม่อม: บูรพาจารย์แห่งการเลี้ยงโคนม ผู้สร้างสมนมเกษตร มก.
โดย ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์


 
"ปรมาจารย์ด้านโคนม"
"สุภาพบุรุษผู้บุกเบิกโคนม"
"ไม่มีอาจารย์หม่อม ไม่มีโคนม"
"อาจารย์หม่อม อาจารย์นักสร้างศิษย์"
"อาจารย์หม่อมของพวกเรา"
"ร้อยคนมีหนึ่งเท่านั้นเอง"
"อาจารย์หม่อมปรมาจารย์ด้านโคนม และสัตวบาล…"


           คำยกย่องสรรเสริญความมีคุณูปการและเป็นที่นับถือของทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นด้านการสอน การวิจัยและการพัฒนาวิชา
และอาชีพการเลี้ยงโคนมของศาสตราจารย์ ม.ร.ว. ชวนิศนดากร วรวรรณ (อาจารย์หม่อม)นั้นจะปรากฏเสมอ หากได้อ่านหรือได้
คุยกับลูกศิษย์หรือผู้ที่เคยร่วมงานกับอาจารย์หม่อม ก็จะได้ทราบได้อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นบรมครู ของอาจารย์หม่อมในด้าน
โคนมอย่างแท้จริง

           ศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ชวนิศนดากร วรวรรณ หรือที่พวกเราเรียกท่านง่ายๆ ว่า "อาจารย์หม่อม" เกิดเมื่อวันที่ 18
มิถุนายน 2466 เป็นบุตรชายคนที่สองของหม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ คุณแม่ชื่อหม่อมชั้น จากสกุลบุนนาค

โดย พ.ศ. 2470-71 ประถมศึกษา โรงเรียนผดุงดรุณี
2472-80 มัธยมศึกษา (มัธยมปีที่ 6) โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์
2483-84 โรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (แม่โจ้)
2485-89 ปริญญาตรีกสิกรรมและสัตวบาล (เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (รุ่น1)
2502-03 Master of Science in Dairy and Animal Husbandry จาก Oregon State University ประเทศสหรัฐอเมริกา
2527 ปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (เกษตรศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

           ได้รับพระราชโครงการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็น "ศาสตราจารย์" เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2526

           ว่ากันว่าอาจารย์หม่อมมีความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยว และพร้อมที่จะศึกษาวิชาการเกษตรกรรมตั้งแต่ยังเรียนอยู่ใน
โรงเรียนมัธยม สิ่งที่ทำให้อาจารย์หม่อมมีความตั้งใจดังกล่าว อาจเป็นเพราะการที่ท่านได้มีโอกาสอ่านวารสาร "กสิกร"
ที่หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร (ท่านลุง) มักจะเขียนบทนำทำให้อาจารย์ชื่นชมและหลงในชีวิตการทำฟาร์มของท่านลุง
อีกประการหนึ่งที่เป็นประสบการณ์ของท่านในเรื่องของความซื่อสัตย์ในการทำฟาร์มคือ ในสมัยที่ท่านเรียนชั้นมัธยมท่าน
ยอมอดอาหารกลางวัน เอาสตางค์มาซื้อลูกเป็ดลูกไก่มาเลี้ยงอยู่เป็นประจำ ลูกเป็ดลูกไก่ตายตั้งแต่เล็กเสียเกือบหมด บางตัว
อยู่รอดจนโตก็ไม่สามารถวางไข่ได้ เพราะท่านถูกหลอกขายโดยผู้ขายคัดเอาแต่ตัวผู้มาขายให้ทั้งสิ้น นี่ก็เป็นบทเรียนอย่าง
ดีในวิชาสัตวบาลในด้านความซื่อสัตย์ในอาชีพการเลี้ยงสัตว์

           หลังจากจบมัธยมปลาย ท่านได้ศึกษาวิชาการเกษตรขั้นเตรียมอุดมศึกษา ณ โรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ เชียงใหม่
ซึ่งสภาพโรงเรียนยังเป็นป่า หอนอนเป็นโรงเรือนยางใต้ถุนสูง ฝาไม้ไผ่แตะหลังคามุงใบตองตึง แต่อาจารย์หม่อมก็มีความ
สุขดี มีความอดทนที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ และสามารถเรียนได้ผลดี เมื่อจบการศึกษาที่แม่โจ้ก็ได้มาศึกษาต่อที่วิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ บางเขน ซึ่งเปิดเป็นอุดมศึกษาเป็นปีแรก (มหาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในปัจจุบัน)

           เมื่อท่านจบการศึกษาขั้นปริญญาตรี (กสิกรรมและสัตวบาลบัณฑิต) แล้ว อาจารย์ได้ตัดสินใจทันทีว่าต้องออกไป
ฟาร์ม ด้วยเหตุที่ว่า มีผู้วิจารณ์ท่านว่าผู้จบปริญญาตรีด้านเกษตรจะหนีจากการรับราชการไม่พ้น ต้องรับราชการอย่างเดียว
ซึ่งขณะนั้นบริษัทเกี่ยวกับการเกษตรก็ยังไม่มี ทั้งนี้เพราะอาชีพทำการเกษตรถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย ไร้เกียรติ และยัง
หาทางประสบความสำเร็จไม่ได้ ฟาร์มของอาจารย์หม่อมนั้นปลูกกะหล่ำปลี และกะหล่ำดอกอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัด
นครราชสีมา อยู่ประมาณ 2 ปี ท่านได้ต่อสู้ในการทำฟาร์มด้วยความมานะอดทนไม่ท้อถอย แม้จะไม่พบกับความสำเร็จก็
ตาม จนกระทั่งวันหนึ่งคุณหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจมาเยี่ยมกิจการของลูกศิษย์ที่ปากช่อง อาจารย์หม่อมจึงถูกทาบทามให้
เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ในวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2492 เป็นต้นมาหลังจากที่ท่านได้บรรจุ
เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้วไม่นาน ท่านก็ได้พบกับคุณนงลักษณ์ อมาตยกุล และได้เข้าสู่พิธีวิวาห์มงคลเมื่อ
24 ตุลาคม พ.ศ.2495 โดยมีบุตร-ธิดารวมกัน 3 คน และต่อไปนี้จะเป็นการนำเสนอคณูปการณ์ที่อาจารย์หม่อมได้สร้าง
ไว้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และประเทศชาติ

ผลงาน

           กำเนิดภาควิชาสัตวบาล ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

           การเรียนการสอนของคณะเกษตรเกี่ยวกับวิชาเกษตรนั้นไม่ได้แบ่งเป็นภาควิชาเช่นในปัจจุบัน มีเพียง 2 ฝ่าย
เท่านั้นเรียกว่า ฝ่ายพืชและฝ่ายสัตว์ แต่เมื่ออาจารย์หม่อมกลับมาจากประเทศออสเตรเลีย การเรียนการสอนในทาง
สัตวบาลก็เริ่มเป็นระเบียบแบบแผนมากขึ้น จนในที่สุดก็ได้เป็นแผนกวิชาสัตวบาล โดยมีที่ทำการอยู่ที่ตึกสัตวบาล ตรง
ประตู 2 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหอประวัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปแล้ว โดยอาจารย์หม่อมดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนก
หรือหัวหน้าวิชาสัตวบาลคนแรก ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2498 จากคำบอกเล่าของศาสตราจารย์ชวนชม จันทรเปารยะ
(เสียชีวิตไปแล้ว) เขียนไว้ว่ากว่าอาจารย์หม่อมจะยอมรับตำแหน่งหัวหน้าแผนก ก็เล่นเอาลูกน้องต้องคาดคั้นกันหลายยก
พร้อมต้องสัญญาว่าต้องทำงานให้ดีด้วยจึงจะยอมรับเป็น

          นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์อาหารสัตว์ และห้องสมุดภาควิชาสัตวบาลขึ้น เพื่อใช้
เป็นสถานที่ค้นคว้าทดลองในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงสัตว์ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ริเริ่มนำผลพลอยได้ทางการเกษตร
และวัสดุทิ้งเปล่าหลายชนิดมาทดลองใช้เป็นอาหารสัตว์ในรูปต่างๆ อาทิ ใบแค ฝักก้ามปู ผักตบ-ชวา ใบกระถิน เมล็ดยาง
พารา เมล็ดนุ่น เมล็ดฝ้าย เปลือกสับปะรดสดและแห้ง ซังข้าวโพด กากน้ำตาล กากตะกอนนม กากเบียร์ กากวุ้นเส้น ส่า
เหล้า ฯลฯ

                                      

โคนมฝูงแรกของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การส่งเสริมการเลี้ยงโคนมและการก่อตั้งโรงนมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
          ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.ชวนิศนดากร วรวรรณ เป็นผู้นำโคนมพันธุ์เจอร์ซี่จากประเทศออสเตรเลียเข้ามาในประเทศไทย
เป็นแห่งแรก หลังสงครามโลกในปี พ.ศ.2495 ซึ่งเป็นปีที่ท่านสำเร็จการศึกษาและฝึกอบรมด้านโคนมจากประเทศออสเตรเลีย
โดยอาจารย์หม่อมเป็นผู้ดูแลโคด้วยตนเองระหว่างการเดินทางขนย้าย จากประเทศออส-เตรเลียมายังประเทศไทย โคนมที่นำ
เข้ามาในขณะนั้นเป็นโคพ่อพันธุ์ 2 ตัว และโคแม่พันธุ์อีก 5 ตัว ซึ่งโคทั้งหมดนี้ได้เข้ามาเก็บกักไว้ที่คอกชั่วคราว ตรงบริเวณคณะ
วิศวกรรมศาสตร์ในปัจจุบัน โดยมี ผศ. ทองยศ อเนกะเวียง (เสียชีวิตไปแล้ว) เป็นเทรนนีคนแรกที่ช่วยดูแลโคเหล่านั้น หลัง
จากนั้นการเรียนการสอนเกี่ยวกับวิชาการเลี้ยงโคนมและผลิตภัณฑ์นมของภาควิชาสัตวบาลก็เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น โดยมีอาจารย์
หม่อมเป็นอาจารย์ผู้สอน ซึ่งได้พัฒนาการเลี้ยงดู ครอบคลุมไปถึงการทำแปลงทดลองปลูกหญ้าพันธุ์ต่างๆ เพื่อเป็นอาหารสัตว์ ไม่
ใช่ปลูกเฉพาะที่บางเขนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงสถานีทับกวาง สถานีศรีราชา สถานีกำแพงแสน เป็นต้น

                                

ในด้านการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมนั้น สืบเนื่องมาจากงานวิทยานิพนธ์ของอาจารย์เรื่อง การวิเคราะห์สภาวะการ
เลี้ยงโคนมในพระนครและธนบุรี แนวความคิดในการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมจึงเริ่มปรากฏกล่าวคือ หลังจากที่อาจารย์
หม่อมได้ตั้งฟาร์มโคนมของมหาวิทยาลัยเกษตร ศาสตร์แล้ว ท่านได้ดำเนินการส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไป
ได้รู้จักการเลี้ยงโคนม คุณประโยชน์และการบริโภคนมสด โดยได้นำนิสิตออกไปศึกษาค้นคว้าเก็บข้อมูลในด้านวิชาการ
เกี่ยวกับการเลี้ยงจัดการดูแลโคนมของชาวอินเดียในเขตพระนคร-ธนบุรี และการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรในจังหวัด
อยุธยาพร้อมทั้งแนะนำส่งเสริมให้มีการเลี้ยงและดูแลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ

                             

           เมื่อมีการเลี้ยงโคนมและการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมแพร่กระจายไป ทำให้ความต้องการน้ำนมเพิ่มขึ้น ภาควิชา
สัตวบาลในขณะนั้นก็มีแค่หม้อพาสเจอร์ไรส์นมขนาดเล็กไม่กี่สิบลิตร ซึ่งใช้ทดลองทำไอศกรีมหลากหลายรสชาติ ทั้งผลิต
นมและผลผลิตสัตว์อื่นๆ ก็มีวางจำหน่ายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตรงนี้เป็นจุดกำเนิดโรงนมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กล่าวคือ แม้มหาวิทยาลัยไม่มีเงินงบประมาณและนโยบายที่ลงทุนในการจัดตั้งโรงงานนมทันสมัย เพื่อใช้ประกอบการ
เรียนการสอนของนิสิต แต่ด้วยความรักในงานที่ท่านได้ปลุกปั้นมาตั้งแต่เริ่มแรก ประกอบกับเป็นผู้ที่กว้างขวางอยู่ใน
วงการ จึงได้รับความกรุณาและความร่วมมือเป็นอย่างดีจากรัฐบาลออสเตรเลียภายใต้แผนโคลัมโบ รัฐบาลออสเตรเลีย
ได้ให้ความช่วยเหลืออุปกรณ์สำหรับการผลิตนมพาสเจอร์ไรส์ครบทั้งชุด แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไว้เป็นอุปกรณ์
ประกอบการเรียนการสอนและผลิตน้ำนมพร้อมดื่มจำหน่ายให้ประชาชนได้บริโภคเป็นโรงงานแรกของประเทศไทย
โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 - 05 ทำให้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในฐานะ
ดินแดนแห่งเนื้อ นม ไข่ ที่สมบูรณ์ยิ่ง นอกจากนั้นยังเป็นโรงกษาปณ์ผลิตเม็ดเงินเลี้ยงท้องมหาวิทยาลัยเกษตร-ศาสตร์
มาถึงทุกวันนี้ แต่เป็นที่น่าแปลกมากอย่างหนึ่ง คือ ปัจจุบันโรงนมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแล
ของภาควิชาสัตวบาลแล้ว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เอาไปดูแลเอง และจะมีใครทราบหรือไม่ว่า "ไม่มีอาจารย์หม่อม ไม่
มีโรงนมในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์"

             การประชุมทางวิชาการครั้งแรกของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์การค้นคว้าในวิชาสัตวบาลเป็นส่วนประกอบ
ของงานที่แผนกวิชาสัตวบาล ได้ปฏิบัติอยู่คู่กับงานสอนและฝึกหัดนิสิต ตั้งแต่เริ่มเปิดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
แต่การค้นคว้าทดลองเริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อได้รับความสะดวกในการใช้เครื่องมือ และมีเจ้าหน้าที่มากยิ่งขึ้นตั้งแต่ปี
พ.ศ.2495 แม้ว่าจะไม่มีผลงานสำคัญปรากฏเด่นชัดนักก็ตาม แต่นับว่าเป็นการเริ่มต้นสร้างรากฐานและได้แก้ปัญหาใน
การเลี้ยงสัตว์มาได้พอประมาณ แต่อุปสรรคสำคัญในการค้นคว้าทางสัตว์ คือ งบประมาณที่ไม่เพียงพอ แต่แผนกวิชา
สัตวบาลในขณะนั้นก็พยายามแก้ไข โดยใช้รายได้บางส่วนจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มาใช้ในการค้นคว้า ซึ่งอาจารย์
หม่อมได้ปรารภไว้ในรายงานทางวิชาการของแผนกวิชาสัตวบาลเล่มที่หนึ่งและสองของปี พ.ศ. 2501 โดยขอให้มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ช่วยเหลือในด้านค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าวิจัย แน่นอนเงินใช้ค้นคว้าวิจัยในขณะนั้นต้องมาจากเงินส่วน
ตัวอาจารย์หม่อมอย่างแน่นอน (เดาเอานะครับ) นี่เป็นจุดกำเนิดของการประชุมวิชาการสาขาสัตวบาลครั้งที่ 1 ณ ตึกเคมี
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในวันที่ 7 - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2504 ซึ่งมีผู้สนใจและนักวิชาการลงทะเบียนเข้าฟัง
การประชุมรวม 159 คน และมีเรื่องที่เสนอในที่ประชุมรวม 30 เรื่อง ในการประชุมครั้งนี้ก็ให้เกิดประโยชน์ในการ
ปรับปรุงและแก้ปัญหาต่างๆในการเลี้ยงสัตว์ของประเทศไทยอย่างใหญ่หลวง และเป็นมูลเหตุของการส่งเสริมและพัฒนา
ให้มีการประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อมาอีกจนกระทั่งปัจจุบันนับเป็นครั้งที่ 40 (2545)

กำเนิดการเรียนการสอนวิชาชีวเคมีในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

               คิดว่าหลายคนก็เพิ่งมารู้ว่าวิชาชีวเคมีที่ปัจจุบันนั้นเป็น
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้น
เกิดจากศาสตราจารย์ ม.ร.ว. ชวนิศนดากร วรวรรณ ประเด็นนี้
ผศ.ดร. ยงยุทธ เจียมไชยศรี ได้เขียนเชิดชูวิสัยทัศน์ของอาจารย์
หม่อมไว้ว่า การเรียนการสอนวิชาชีวเคมี ในมหาวิทยาลัยเกษตร
ศาสตร์ เริ่มต้นเมื่อภาคต้นปีการศึกษา 2499 โดยอาจารย์หม่อมต้อง
การให้นิสิตสัตวบาลชั้นปีที่ 3 ในขณะนั้น (เกษตรรุ่น 14) เรียนวิชา
ชีวเคมี แทนวิชาข้าวด้วยให้เป็นไปตามความต้องการของมหาวิทยาลัย
ซึ่งนิสิตสัตวบาลทั้งหมดในรุ่นนั้นจึงอาสาเรียนโดยไม่เอาหน่วยกิต
และอาสาสอบวัดความรู้ ซึ่งอาจารย์หม่อมต้องเชิญอาจารย์จากภาย
นอกมหาวิทยาลัยมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาดังกล่าว จากนั้นไม่
นานมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็เริ่มการสอนวิชาชีวเคมี และมี
อาจารย์หลายท่านมาสอนวิชานี้ รวมทั้งเป็นอาจารย์ ดร.ยงยุทธ
เจียมไชยศรี เองที่ท่านได้ร่วมสอนวิชาชีวเคมี อีกทั้งเป็นอาจารย์
ที่ปรึกษาร่วมในวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาโท ภาควิชาสัตวบาล
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกจำนวนมาก

        ปัจจุบันภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ผลิตนักชีวเคมีออกสู่วงการเกษตรและ
อุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งหากไม่ใช่วิสัยทัศน์อันยาวไกลของอาจารย์หม่อมแล้ว ภาควิชาชีวเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นมาเพื่อผลิตนักชีวเคมีออกมารับใช้สังคม

ตำราการเลี้ยงโคนมและการเลี้ยงสัตว์ภาษาไทยเล่มแรกของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
        ศาสตราจารย์ ม.ร.ว. ชวนิศนดากร วรวรรณ ได้เขียนตำราเอกสารทางวิชาการตลอดจนบทความลงเผยแพร่ใน
หนังสือพิมพ์และวารสารต่างๆ โดยเฉพาะบทความที่เป็นความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงโคนม เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเลี้ยง
โคนมและรู้จักคุณประ-โยชน์ ตลอดจนรู้จักบริโภคนมตลอดมาตั้งแต่ท่านเริ่มรับราชการ ในด้านตำรานั้นอาจารย์หม่อม
เป็นครูที่ดี ทุกครั้งที่อาจารย์จะเข้าห้องสอน อาจารย์จะเตรียมการสอนอยางดี โดยที่ท่านเป็นนักอ่านและค้นคว้าหาความ
รู้ที่ทันสมัยมาสอนเสมอ ฉะนั้นทุกวิชาที่อาจารย์สอนก็จะเขียนเป็นตำราขึ้นมา ตำราภาษาไทยเล่มแรกของมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ คือ

  1. การเลี้ยงสัตว์ทั่วไป พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2495 โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  2. การให้อาหารสัตว์ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2497 โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  3. การเลี้ยงโคนม พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2498 โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  4. การเลี้ยงแพะนม พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2519 โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  5. การเลี้ยงกระต่าย พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2521 โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

        นอกจากนั้นยังมีเอกสารประกอบการสอนวิชาต่างๆ เช่น วิชาการเลี้ยงสัตว์ วิชาการจัดการฟาร์มโคนม ตลอดจน
เอกสารประกอบการฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมสำหรับประชาชน โดยจัดพิมพ์โดยภาควิชาสัตวบาล มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ เช่น

  1. การเลี้ยงดูแม่วัวนม เอกสารเผยแพร่ฉบับที่ 1 พ.ศ.2508
  2. การเลี้ยงดูลูกโคนม เอกสารเผยแพร่ฉบับที่ 2 พ.ศ.2508
  3. อาหารสำหรับวัวนม เอกสารเผยแพร่ฉบับที่ 1 พ.ศ.2509
  4. เทคนิคในการรีดนม เอกสารเผยแพร่ฉบับที่ 2 พ.ศ.2509

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตนม
             อาจารย์หม่อมเป็นผู้ที่มีความคิดก้าวหน้ามองเห็นการณ์ไกล ท่านมองว่าวิทยาเขตบางเขนมีการขยายตัว
ในด้านวัตถุคือ อาคารเรียน อาคารวิจัยมากขึ้น ท่านจึงตัดสินใจย้ายฟาร์มโคนมที่อยู่ในวิทยาเขตบางเขนไปยัง
วิทยาเขตกำแพงแสน โดยทยอยย้ายโคนมบางส่วนไปในราวปี พ.ศ.2520-2521 ซึ่งคอกโคที่เป็นคอกเก่าที่ใช้
เลี้ยงวัวพื้นเมือง อีกทั้งคนงานก็เคยรู้จักวัวนมมาก่อน รวมทั้งยังไม่เคยรีดนมมาก่อนด้วย ฉะนั้น ท่านจึงเริ่ม
พัฒนาฟาร์มโคนมที่วิทยาเขตกำแพงแสนโดยนำน้ำเชื้อแข็งของพ่อโคนมขาวดำผสมกับแม่วัวบราห์มันที่ไร่ฝึก
ศรีราชา แล้วนำลูกโคตัวเมียไปเลี้ยงต่อที่กำแพงแสน ต่อมาก็ผสมให้มีเลือดวัวนมขาวดำสูงขึ้น ต่อมาได้ย้ายวัว
นมทั้งฝูงไปยังกำแพงแสน โดยท่านเป็นอาจารย์อาวุโสคนแรกที่ไปปฏิบัติงานประจำที่กำแพงแสน

             ที่วิทยาเขตกำแพงแสนนี่เอง แนวทางการเลี้ยงและการส่งเสริมโคนม รวมทั้งการการทำผลิตภัณฑ์นม
พาสเจอไรซ์ก็เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกษตรกรรอบวิทยาเขตกำแพงแสนเห็นความสำคัญของโคนม จนกระทั่ง
เกิดโครงการโคนมที่ทุ่งลูกนมประมาณปี พ.ศ.2530-31 นอกจากนั้น อาจารย์หม่อมยังเป็นผู้ริเริ่มโครงการจัดตั้ง
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตนม ซึ่งเป็นศูนย์ที่มุ่งเน้นการวิจัยโคนมในสาขาต่างๆ และเพื่อเป็นแนวทางในการ
พัฒนาอาชีพในการเลี้ยงโคนมโดยรอบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่วิทยาเขตกำแพงแสน โดยท่านดำรงตำแหน่ง
หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตนม เป็นคนแรก


ท่านเป็นผู้บุกเบิกงานด้านสัตว์ให้นม

       หลังจากที่อาจารย์หม่อมนำโคนมพันธุ์เจอร์ซี่จากประเทศ
ออสเตรเลีย เข้ามาเลี้ยงในมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ได้ไม่
นาน ประมาณกลางปี พ.ศ. 2500 อาจารย์หม่อมได้เล็งเห็นว่า
สัตว์ให้นมอีกชนิดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ กระบือนม ท่านจึงเริ่ม
สอบถามและเริ่มสำรวจโดยชวน รศ.ดร.สมเกียรติ ทิมพัฒนพงศ์
ลงไปในเขตจังหวัดสงขลา ปัตตานี และยะลา แต่ปรากฏว่ามีเลี้ยง
กันไม่มากนัก แต่ด้วยความร่วมมือและคำแนะนำอย่างดีจาก
คุณพนัส ณ. นคร สัตวแพทย์ภาค 9 จังหวัดสงขลาในขณะนั้น เป็น
ผู้นำพาไปเลือกซื้อกระบือนมพันธุ์มูร่าห์จากชานเมืองกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซีย โดยที่อาจารย์หม่อมสามารถซื้อกระบือมูร่าห์มาได้
7 ตัว (เพศผู้ 2 ตัว เพศเมีย 5 ตัว) ซึ่งอาจารย์หม่อมนำกระบือทั้ง 7
ตัวมาเองพร้อมคุณพนัส โดยกระบือทั้งหมดต้องพักอยู่ที่ด่านกัก
สัตว์หาดใหญ่เป็นเวลา 2 วัน เที่ยวนี้อาจารย์ไม่ได้ควบคุมกระบือ
ขึ้นมากรุงเทพฯเองนะครับ แต่เป็น รศ.สมเกียรติ ทิมพัฒนพงษ์
เป็นผู้ที่คอยดูแลให้น้ำให้อาหารกระบือเหล่านั้นจนมาถึงกรุงเทพฯ
ส่วนอาจารย์หม่อมเดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

       ส่วนแพะนมอาจารย์หม่อมได้รับมอบหมายให้ควบคุมโครงการแพะนม โดยอาจารย์ได้ดำเนินการสั่งแพะพันธุ์นมพันธุ์
ซาเนน จากประเทศเดนมาร์ค มาทดลองเลี้ยงที่เกษตรกลาง บางเขน โดยเลี้ยงร่วมกับแพะนมที่มีอยู่แล้ว เพื่อส่งเสริมให้
ประชาชนรอบๆ เขตกรุงเทพมหานครรู้จักการดื่มนมสด ซึ่งอาจารย์หม่อมได้รับมอบหมายจากอาจารย์หลวงสุวรรณวาจกสิกิจ
ให้ควบคุมดูแลโครงการแพะนมของภาควิชาสัตวบาลตั้งแต่ พ.ศ. 2496 จนถึง พ.ศ. 2506 ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ภาควิชาสัตวบาล
ในขณะนั้นมีสัตว์ให้นม 3 ชนิด ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มต้นการเรียนการสอนเกี่ยวกับสัตว์ให้นม แต่เมื่อความนิยมในการบริโภคนม
โคมีมากกว่านมกระบือ ทำให้พื้นที่การเลี้ยงกระบือฝูงนี้ลดลง ต่อมาจึงขายกระบือฝูงนี้ทั้งฝูงให้กับแขกที่เลี้ยงโคเมื่อประมาณปี
พ.ศ. 2510

ผู้บุกเบิกการวิจัยด้านสรีรวิทยาสิ่งแวดล้อมต่อโคนม
(Environmental physiology of dairy cattle)

         อาจารย์หม่อมได้ตระหนักถึงความสำคัญของสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่เป็นแบบร้อนชื้น อันจะเป็นผลต่อชีวิต
ความเป็นอยู่ของโคนมที่นำเข้ามาจากประเทศในเขตหนาว ซึ่งจากประสบการณ์ในการเลี้ยงดูโคนมพันธุ์เจอร์ซี่จากประเทศ
ออสเตรเลีย ท่านได้เขียนรายงานเรื่องปัญหาการเลี้ยงวัวในประเทศร้อน ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมประจำปีทางวิชาการสาขาวิชา
สัตวบาลและโรคสัตว์ ครั้งที่ 1 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ระหว่างวันที่ 7-8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2504 ซึ่งได้กล่าวถึง
ฝนฟ้าอากาศที่มีผลกระทบต่อโครีดนม อันเป็นผลเนื่องมาจากความผิดปกติในทางสรีรวิทยาของสัตว์ ทำให้โคกินอาหารได้
ลดลง เพราะฉะนั้นอาจารย์หม่อมจึงเริ่มศึกษาถึงการตอบสนองทางสรีรวิทยาต่ดสภาพภูมิอากาศของโคนมในประเทศไทยใน
ปี พ.ศ.2509 ในหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาตรีและปริญญาโท คือ

  • ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิของร่างกาย จำนวนเฮโมโกลบินกับอัตราเจริญเติบโตของวัวลูกผสมโดยเชื้อพ่อ
    โฮลสไตน์และเบราน์สวิส (พ.ศ.2509)
  • ปฏิกิริยาทางการเติบโตและสรีระวิทยาขั้นมูลฐานของโคลูกผสมโฮลสไตน์และเบราน์สวิส ระดับสายเลือกต่างๆ
    ต่อสภาพอากาศและการเลี้ยงดูในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน (พ.ศ.2523)
  • ผลของอุณหภูมิแวดล้อมที่มีผลต่อปฏิกิริยาทางสรีระวิทยาของโคให้นม (พ.ศ.2523)

         นับได้ว่าอาจารย์หม่อมได้เล็งเห็นว่าสภาพอากาศร้อนชื้นในเมืองไทยนั้น จำเป็นต้องปรับปรุงการจัดการบางอย่าง
เพื่อให้โคนมอยู่ได้อย่างเป็นสุข เพื่อจักได้แสดงความสามารถในการให้นมอย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นแล้วผลของ
การวิจัยของอาจารย์หม่อม ยังเป็นแนวทางในการค้นคว้าในเรื่องของการลดความเครียดจากความร้อน (Heat stress) ต่อไป

ผู้บุกเบิกการผสมเทียมด้วยน้ำเชื้อแข็ง
        ผลงานบางอย่างที่ รศ. ประเสริฐ เจิมพร กล่าวถึงอาจารย์หม่อม คือ การทดลองเริ่มใช้น้ำเชื้อแข็งของโคนมและ
โคเนื้อเป็นผลสำเร็จครั้งแรกในปี พ.ศ. 2508 ในประเทศไทย ผลของการทดลองนี้ได้ก่อประโยชน์ให้กับงานปรับปรุง
พันธุ์โคนมและโคเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพกล่าวคือ ประเทศไทยได้นำเข้าน้ำเชื้อแข็งจากต่างประเทศเข้ามาใช้ใน
ประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2506 หลังจากนั้นการใช้น้ำเชื้อแช่แข็งผสมกับโคนแม่พันธุ์ในประเทศก็เพิ่มขึ้น พร้อมด้าน
การพัฒนาสายพันธุ์โคนมและโคเนื้อของประเทศไทยได้รุดหน้าก้าวไกลจนสามารถผลิตน้ำเชื้อพันธุ์โคนมและโคเนื้อ
ในรูปน้ำเชื้อแช่แข็งไว้ใช้เองในประเทศและสามารถส่งจำหน่ายต่างประเทศได้ในปัจจุบัน

ผู้บุกเบิกรณรงค์เพื่อการบริโภคนมสด
       ในสมัยที่อาจารย์หม่อมดูแลกิจการฟาร์มโคนมนั้น คนไทยยังดื่มนมสดกันน้อยมาก คือ พออดนมแม่ ก็รู้จัก
แต่นมข้นหวาน จะเริ่มดื่มนมอีกครั้งก็ตอนโตแล้ว ซึ่งมักพบปัญญาเรื่องท้องเดิน เพราะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส
ได้ นอกจากนั้นราคานมก็แพงอีก แต่ด้วยความเป็นนักคิดริเริ่มของอาจารย์หม่อม ซึ่ง ดร.สุนทราภรณ์ รัตนดิลก ณ
ภูเก็ต ได้เล่าว่า "เดรี่ฮัท" และ "เดรี่ควีน" ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมี อาจารย์สมเกียรติ ทิมพัฒนพงษ์ เป็นคนออกแบบร้าน
ตอนแรกขายแต่นม เนย และไอสครีมเท่านั้น แต่ก็เป็นผลิตภัณฑ์จากโรงนมของเกษตรเรา รวมทั้งจากห้องปฏิบัติการ
นมที่นิสิตได้เรียนรู้ โดยเฉพาะไอสครีมนั้น ได้รับคำชมจากคนในวังของท่านจักรพันธ์ (หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ
จักรพันธ์) อย่างไรก็ตามอาจารย์หม่อมยังแนะนำให้ขายอาหารและขนมอย่างอื่นด้วย ซึ่งต่อมาพี่นง (คุณนงลักษณ์
วรวรรณ ภรรยาของอาจารย์หม่อม) เป็นผู้ทำอาหารกลางวันมาทดลองขาย พอคนเริ่มติดใจทั้งรสชาติของผลิตภัณฑ์
นมและอาหาร ก็มีคนภายนอกมาทำกิจการแทน ซึ่งในอดีตนั้นร้านเดรีควีนอยู่ตรงประตู 2 เยื้องกับตึกหอประวัติ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ตึกสัตวบาล) แต่ปัจจุบันกิจการของเดรีควีนได้หลุดออกจากรั้วหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเดรีควีนในปัจจุบันจะรู้มั๊ยว่า ชื่อ "เดรีควีน" นี้มาจากฝีมือของอาจารย์หม่อม ซึ่งอาจารย์
ท่านคงไม่ว่ากระไรที่ชื่อร้านที่ท่านตั้งขึ้นนั้น ได้สร้างความมั่งคั่งแก่บุคคลอื่นนอกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ขอให้
ระลึกถึงท่านบ้างนะครับ

         จะมีใครสักกี่คนที่ทราบว่า การเลี้ยงโคนม การส่งเสริมการเลี้ยงโคนม อุตสาหกรรมการผลิตนม รวมทั้งการส่ง
เสริมการดื่มนมเพื่อสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะโครงการนมโรงเรียน ได้เกิดอย่างเป็นระบบมาตั้งแต่สมัยอาจารย์
หม่อมทั้งสิ้น การรณรงค์เพื่อการบริโภคนมสดนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะมาเกิดเมื่อไม่กี่ปีนี้ แต่เพราะโรงนมมหาวิทยาลัยเกษตร
ศาสตร์นี่แหละที่ทำให้ความนิยมดื่มนมสดอย่างแพร่หลาย เกิดโรงงานผลิตน้ำนมขึ้นมาจนทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสดื่มนมสด
มากยิ่งขึ้น ในสมัยเริ่มแรกนั้นโรงนมเกษตรได้รับน้ำนมสดจากเกษตรกรรายย่อยที่มาขอรับบริการส่งเสริมจากอาจารย์
หม่อม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฟาร์มโคนมของชาวฮินดู ที่อาจารย์สามารถเข้าไปควบคุมความสะอาดโดยเฉพาะสุขภาพสัตว์ได้
นอกจากนั้นฟาร์มโคนมไทยเดนมาร์ค (อสค. ในปัจจุบัน) ก็ส่งนมสดมาเข้าขบวนการผลิตอีก ในระหว่างปี พ.ศ.2504-05
อาจารย์หม่อมยังช่วยเหลือในการจัดตั้งสหกรณ์โคนมอยุธยา ซึ่งต่อมาน้ำนมบางส่วนมาจากสหกรณ์โคนมอยุธยาและ
บางครั้งจากสหกรณ์หนองโพก็มาเข้าขบวนการผลิตที่โรงนมเกษตร

ผู้บุกเบิกการฝึกงานนิสิตเกษตรและสร้างไร่ฝึก
         อาจารย์หม่อมเล็งเห็นว่าการรับนิสิตเข้าศึกษาในคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากเดิมรับผู้จบจาก
วิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้มาเป็นรับจากผู้ที่สำเร็จชั้นเตรียมอุดมศึกษา (ม.8) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2492 นั้น นิสิตจะขาด
ประสบการณ์ในด้านการเกษตรกรรมมาก่อน จึงเริ่มให้นิสิตเริ่มฝึกงาน โดยระยะแรกนั้นอาจารย์หม่อมได้ติดต่อกับกรม
ปศุสัตว์และหัวหน้าสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง สระบุรี โดยขอใช้ส่วนหนึ่งของสถานีในการฝึกงานนิสิต จนกระทั่งได้
เริ่มก่อสร้างสถานีฝึกงานนิสิตเกษตรที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยที่กระทรวงมหาดไทยได้มอบที่ดินจำนวน 300 ไร่
ซึ่งเป็นที่รกร้างเชิงเขา และได้เริ่มฝึกนิสิตตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา แต่ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยได้รับนิสิตเกษตรมาก
ขึ้นทุกปี สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวางและสถานีฝึกนิสิตศรีราชาไม่เพียงพอ รวมทั้งที่ศรีราชานั้นเป็นพื้นที่ดินทรายซึ่ง
เหมาะกับการเพาะปลูกพืชทนแล้งบางชนิดเท่านั้น อาจารย์หม่อมจึงเริ่มเสาะแสวงหาสถานีใหม่ โดยได้รับความร่วมมือกับ
ผู้ปกครองนิคมสร้างตนเองทับกวาง จังหวัดสระบุรี ทำให้กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย มอบที่ดินของนิคมฯ
ประมาณ 100 ไร่ (ต่อมาขยายเป็น 300 ไร่) สร้างเป็นสถานีฝึกนิสิตเกษตรทับกวาง ซึ่งอยู่ห่างจากปากทางเข้านิคมฯ ประมาณ
8 กม. และเริ่มฝึกนิสิตตั้งแต่ พ.ศ.2504 เป็นรุ่นแรก

                      

           ตั้งแต่อาจารย์หม่อมได้ริเริ่มให้นิสิตเกษตรมีการฝึกงานเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2498 ตั้งแต่นั้นมามหาวิทยาลัย
ให้ความสำคัญของการฝึกงานนับเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนที่บรรจุในหลักสูตร และยังเป็นแบบอย่างให้
มหาวิทยาลัย วิทยาลัยและสถาบันการศึกษาอื่นๆทางการเกษตร ดำเนินตามอย่างไร่ฝึกฯศรีราชาและทับกวาง ซึ่งทั้งสอง
แห่งนี้ยังเป็นที่ฝึกงานนิสิตเกษตรจนถึงปัจจุบัน ฉะนั้นใครที่ได้ประสบการณ์จากการฝึกงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง
ความรักระหว่างฝึกงานก็ขอให้คิดถึงอาจารย์หม่อมชวนิศด้วย

          คุณูปการที่ศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณ ได้มอบไว้แก่วงการโคนมและอุตสาหกรรม
โคนมรวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคนม เป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขอยกย่องท่านให้เป็น "บิดาแห่งศาสตร์
การเลี้ยงโคนมของชาติ" เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของท่าน แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และแก่ชาติไทยสืบ
ต่อไป

ชีวิตในวัยต่างๆ

วัยเด็กของอาจารย์หม่อม
          ชีวิตในวัยเด็กของศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณนั้น พบว่า แม้ท่านจะมีฐานันดรถึง
หลานชายของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ก็ตาม แต่ด้วยนิสัยโดยพื้นฐานของอาจารย์
หม่อมที่รักการผจญภัยโลดโผนดังบทสัมภาษณ์ของคุณนงลักษณ์ (ภรรยาของอาจารย์หม่อม) ที่ว่าในวัยเด็กอาจารย์
หม่อมมักจะชอบโหนเชือกจากหน้าต่างบ้านตัวเองไปยังบ้านของท่านลุงซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทำให้ชาวบ้านบริเวณ
ถนนสีลมในขณะนั้นทราบถึงความรักในการผจญภัยของท่าน รวมทั้งการที่ท่านได้อ่านหนังสือ "กสิกร" ซึ่งจัดว่าเป็น
หนังสือที่ให้สาระต่างๆเกี่ยวกับการเกษตรในขณะนั้น ยิ่งทำให้ท่านมีความคิดและริเริ่มใกล้ชิดกับการเกษตรมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างที่อาจารย์หม่อมเรียนอยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์นั้น ท่านได้ซื้อลูกเป็ดมาเลี้ยงที่บ้าน
ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความรู้สึกและความอยากรู้อยากเห็นในกิจการเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

          เมื่อท่านสำเร็จมัธยมต้น (ม.6) แล้วนั้น อาจารย์หม่อมที่มีจิตใจที่มุ่งมั่นในเรื่องการเกษตรโดยเฉพาะใน
เรื่องการเลี้ยงสัตว์อยู่แล้ว ท่านตัดสินใจไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่แม่โจ้ เชียงใหม่ นี่แหละ
เป็นการเริ่มต้นการเลี้ยงสัตว์อย่างแท้จริงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นถึงลูกเจ้าลูกนาย ทำให้พี่น้องของท่านซึ่งทุกคน
เรียนทางด้านวิศวกรรมและการแพทย์ถึงกับแปลกใจว่า ทำไมจึงได้เลือกทางเกษตร และโดยสภาพทั่งๆไปของแม่โจ้
เชียงใหม่นั้นยังเป็นป่าธรรมชาติ ห่างไกลความเจริญมาก แต่ฟ้าได้ลิขิตทางเดินของอาจารย์หม่อมไว้แล้ว ท่านจึงไป
เรียนที่แม่โจ้ ขณะนั้นท่านอายยุเพียง 16 ปีเท่านั้น การศึกษาที่แม่โจ้นั้นใช้เวลา 2 ปี ซึ่งอาจารย์หม่อมได้พิสูจน์ให้เห็น
ว่าท่านสามารถใช้ชีวิตอย่างสามัญชนจะทำได้ท่านกลางสภาพไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า มีแต่ไม้ป่าเป็นรางวัล ซึ่งท่านก็
จบจากแม่โจ้ด้วยผลการเรียนที่ดีมาก จนกระทั่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อปี พ.ศ.2485 เป็นรุ่นที่ 1 ใน
หลักสูตรกสิกรรมและสัตวบาล ซึ่งต้องใช้เวลาเรียน 5 ปี

          เมื่อท่านจบกสิกรรมและสัตวบาล (เกียรตินิยม) แล้ว ท่านได้ใช้ชีวิตการเป็นเกษตรกรจริงๆ โดยปลูกพืช
เลี้ยงสัตว์อยู่อำเภอปากช่อง นครราชสีมา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จากบทสัมภาษณ์คุณนงลักษณ์ วรวรรณ
ทำให่เข้าใจว่า พ่อค้าคนกลางกดราคาพืชผลมาก ซึ่งมีผลต่อกิจการฟาร์มของท่าน จนกระทั่งหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ
ได้บาททามให้เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2492

ชีวิตครอบครัว
          อาจารย์หม่อมได้พบกับคุณนงลักษณ์ อมาตยกุล ณ อยุธยา ซึ่งเป็นญาติห่างๆ กล่าวคือ หลังจากที่อาจารย์หม่อม
บรรจุเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว ไม่นานท่านก็ได้หมั้นกับคุณนงลักษณ์ก่อนที่ท่านจะได้เดินทางไป
ศึกษาดูงานที่ประเทศออสเตรเลีย คุณนงลักษณ์ได้บอกความในใจกับความประทับใจในตัวอาจารย์หม่อมว่า เพราะ
ความใกล้ชิดทำให้กลายเป็นความรักในที่สุด จนกระทั่งได้แต่งงานกันในปี พ.ศ.2495 โดยที่เป็นญาติห่างๆ กันทำให้
คุณนงลักษณ์มั่นใจว่า อาจารย์หม่อมจะไม่ทิ้ง ด้วยสาเหตุที่ว่าอาจารย์หม่อมมักเรียกคุณนงลักษณ์ว่า "น้อง" สำคัญที่สุด
ในชีวิตอาจารย์หม่อมและคุณนงลักษณ์ก็คือ ความซื่อสัตย์ โดยที่อาจารย์หม่อมจะไม่พูดปด โดยถือว่าหากพูดไปแล้วจะ
ทำให้เกิดความไม่สบายใจ แต่อาจารย์หม่อมก็เป็นคนน่าเคารพ เป็นผู้ดี และไม่บ่น ไม่ปดมาตลอด นอกจากนั้นความ
ศรัทธาในตัวอาจารย์หม่อมที่คุณนงลักษณ์ได้กล่าวไว้อีกประการหนึ่งคือ ความมีเพื่อนมาก ลูกศิษย์มาก และทุ่มสุดตัว
หากเป็นเพื่อนหรือลูกศิษย์ ในทางตรงกันข้าม ทั้งเพื่อนๆและลูกศิษย์ก็เคารพนับถือท่านมาตลอด ซึ่งอานิสงส์นี้ ตัวคุณ
นงลักษณ์เองก็ได้รับมาด้วย โดยที่ลูกศิษย์ลูกหายังให้ความเคารพคุณนงลักษณ์อย่างดีมาตลอด จนถึงปัจจุบัน

ชีวิตความเป็นครู
       หลายๆ คนที่เคยเรียนกับศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณ คงจะจำได้ ทุกครั้งที่อาจารย์
หม่อมเข้าห้องเรียน ตั้งแต่วินาทีแรกจนวินาทีสุดท้ายของชั่งโมงการสอนนั้น ท่านจะทุมเทความรู้ ความสามารถ
ของท่านถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้กับลูกศิษย์ ด้วยน้ำเสียงที่ดังแต่แฝงไปด้วยความเมตตา ที่ต้องการให้ลูก
ศิษย์ได้เข้าใจในเนื้อหาที่ท่านได้บรรยาย ลูกศิษย์ลูกหาของท่านคงจะจำได้ว่า ทุกครั้งที่ท่านเข้าสอนในห้องเรียน
ท่านจะเดินเข้าห้องเรียนโดยไม่ถือตำราเข้าสอนเลย มีแต่ชอล์กเอาไว้เขียนบนกระดานเท่านั้น แล้วท่านก็บรรยาย
ให้ลูกศิษย์ฟัง โดยถ่ายทอดจากจิตวิญญาณในวิชาชีพการเลี้ยงโคนม อีกประการหนึ่งคือ ข้อสอบที่ท่านให้ลูกศิษย์ตอบ
ในห้องสอบนั้นจัดเป็นข้อสอบที่ยากถึงยากมาก นิสิตจะบ่นกันแทบทุกคน แต่อาจารย์จะกล่าวเพียงสั้นๆว่า "พวกคุณ
ไม่อ่านหนังสือมาสอบกันเอง" หลายๆ คนก็กล้ายืนยันว่าจริง เพราะได้เกรดในวิชาโคนมแค่ D+ ทั้งที่อ่านหนังสือมา
สอบ (แต่อ่านน้อยไปหน่อยเท่านั้น) ซึ่งอาจารย์หม่อมมักจะกล่าวตำหนินิสิตที่ไม่ค่อยเข้าเรียน แต่ท่านก็ไม่เคยคิด
ร้ายกับนิสิตเลย ท่านยังคงบรรยายในห้องเรียนด้วยความเปรื่องปราชญ์เพื่อให้ลูกศิษย์เข้าใจต่อไป แม้อาจารย์จะ
ไม่เคยเปิดตำราสอนนิสิตเลย แต่ท่านก็ได้เขียนตำรา "การเลี้ยงโคนม" ซึ่งเป็นตำราเกี่ยวกับการเลี้ยงโคนมเล่ม
แรกของประเทศไทย ฉะนั้นนิสิตและเกษตรกรทั่วๆไปก็สามารถหาอ่านได้ ซึ่งภาควิชาสัตวบาลกำลังปรับปรุงตำรา
ของท่านให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

        จากบทสัมภาษณ์ของอาจารย์ทินกร คมกฤษ อดีตผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
ตอนหนึ่งว่า ความศรัทธาในตัวอาจารย์หม่อม คือ อยากเรียนรู้เรื่องโคนมนั้นเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ทินกรยังเรียนอยู่
ชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดม โดยท่านเห็นภาพและบทความของอาจารย์หม่อมในหนังสือ "กสิกร" ทำให้
เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า เพราะชื่นชมในบุคลิกของท่าน รวมทั้งได้ฟังจากลูกศิษย์อาจารย์หม่อมที่เล่าให้ท่านฟัง จึง
ทำให้เลือกเรียนสัตวบาล ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในขณะนั้น แล้วก็พบว่าอาจารย์หม่อมสอนดี ทั้งการสอนให้
นิสิต แม้แต่การบรรยายให้เกษตรกรฟังในระหว่างการอบรมการเลี้ยงโคนม

        กล่าวโดยสรุปศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณ ท่านเป็นอาจารย์ที่สนใจ ห่วงใยต่อการ
ศึกษาของนิสิตสัตวบาลทุกคน เป็นบูรพาจารย์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความเป็นครูอย่างแท้จริง

คุณค่าของงานและชีวิตที่ฝากไว้กับแผ่นดิน

       จากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรีที่อาจารย์หม่อมได้ศึกษาขณะที่ท่านเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ท่านได้ศึกษาเรื่อง "ภาวะการเลี้ยงโคนมในพระนครและธนบุรี" ทำให้ทราบว่าอาจารย์หม่อมสนใจการเลี้ยงโคนม
อย่างจริงจัง โดยท่านเข้าไปศึกษาสำรวจฟาร์มโคนมในเขตตำบลวัดไซ จังหวัดธนบุรี และบางกะปิ คลองเตย ทุ่ง
วัดดอน สามเสนใน พญาไท ลาดยาว และหลักสี่ในจังหวัดพระนคร ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2487 ถึงพฤศจิกายน
พ.ศ. 2488 จากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ทำให้เข้าใจว่าเป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์หม่อมติดพันการเลี้ยงโคนมมาตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านเข้ามารับราชการในมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจได้เล็งเห็นว่าตัว
ท่านเองศึกษาเรื่องไก่ ฉะนั้นท่านจึงแนะนำให้อาจารย์หม่อมศึกษาเรื่องโคนม ซึ่งจากคำแนะนำดังกล่าว ศาสตราจารย์
หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณ ก็ใช้เวลาตลอดชีวิตของท่านพัฒนาการเลี้ยงโคนมจนเป็นอาชีพที่มั่นคงอย่าง
หนึ่งในอาชีพเกษตรกรรมของประเทศไทย

จิตวิญญาณในอาชีพการเลี้ยงโคนม

       หลังจากที่อาจารย์หม่อมกลับจากการศึกษาดูงานในประเทศออสเตรเลีย ท่านได้นำโคนมพันธุ์เจอร์ซี่มาเลี้ยง ณ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านเป็นผู้ควบคุมดูแลโคนมฝูงดังกล่าวโดยมีนิสิตสัตวบาลเป็นผู้ช่วยเลี้ยง (trainee)
ซึ่งแน่นอนการคลุกคลีกับโคนมนั้นต้องการความเอาใจใส่และใกล้ชิดอย่างมาก เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมบางคนยัง
เคยพูดว่า "ไม่เคยดูแลเมีย (ภรรยา) อย่างนี้มาก่อน" จะเห็นได้ชัดจากอาจารย์หม่อม ซึ่งท่านเองก็มีครอบครัวที่อบ
อุ่นแล้ว แต่ด้วยความรับผิดชอบต่อฝูงโคนมที่เป็นเสมือนหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ท่านได้ตัดสินใจย้ายบ้านจาก
บ้านสีลมมาพักอยู่ในบ้านของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งอยู่ในบริเวณพุทธเกษตรในปัจจุบัน โดยท่านมองว่าท่านได้
รวมของรักทั้งหมดของท่านมาไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งท่านก็สามารถดูแลครอบครัวของท่านซึ่งขณะนั้นพยานรักทั้งสามคนก็
ได้เข้ามาอยู่ใน "บ้านคอกวัว" ซึ่งอาจารย์หม่อมมักเรียกบ้านของท่านเช่นนี้ กล่าวคือ บ้านคอกวัวของท่านอยู่ห่างจากคอก
โคแค่เดินสามก้าวหรือจะขี่จักรยานไปภาควิชาสัตวบาลก็ใช้เวลาเพียง 5 นาที การที่ท่านได้อาศัยอยู่ติดคอกโคนม
ทำให้ท่านนั้นนอกจากอยู่ใกล้ชิดครอบครัวแล้ว ท่านยังสามารถดูแลฟาร์มโคนมของมหาวิทยาลัยได้อย่างครบถ้วน
สมบูรณ์คือตั้งแต่ตี 5 เป็นต้นไป ใครที่แวะเวียนผ่านคอกโคนมก็จะเห็นอาจารย์หม่อมอยู่ในคอกโคนม ซึ่งจะฝึกนิสิต
หรือควบคุมวิทยานิพนธ์ แม้ว่าฟาร์มโคนมจะย้ายไปยังวิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม อาจารย์หม่อมก็ยังตามไป
โดยมีบ้านพักอยู่ในวิทยาเขตกำแพงแสน จากบทความของ รศ.ดร.สำอาง ศรีนิลทา ในหนังสือ 20 ปีกำแพงแสน
อาจารย์สำอางได้เขียนไว้ว่า บริเวณบ้านพักอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในช่วงกลางคืนเวลาประมาณ 04.00 น. ท่านจะได้ยิน
เสียงรถจักรยานยนต์วิ่งออกไปจากบริเวณบ้านพักใกล้เคียงแทบทุกคืน และได้ทราบภายหลังว่าเจ้าของเสียงรถ
จักรยานยนต์คันดังกล่าวก็คือศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณ นั่นเอง อีกครั้งหนึ่งก็ตอนที่อาจารย์หม่อม
ไปต้อนวัวเข้าคอก ซึ่งท่านเกรงว่าอาจจะไม่มีใครต้อนโคฝูงดังกล่าวเข้าคอก ท่านจึงไปต้อนวัวเข้าคอกเลี้ยงเอง ซึ่งวันนั้นเป็น
วันที่มีพายุฝนตกกระหน่ำอย่างแรง แต่ท่านก็มิได้สนใจว่าฝนตกจะรุนแรงเพียงใด

        นี่เป็นความเสียสละอย่างหนึ่งของท่านต่อการเลี้ยงโคนม ซึ่งยังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านฝากไว้กับแผ่นดินไทย เช่น
การที่ท่านได้ควบคุมดูแลฟาร์มของมหาวิทยาลัยเอง ทำให้ท่านรอบรู้แตกฉาน ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่ได้รอบรู้แค่ฟาร์ม
ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น บทบาทของการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมก็เป็นบทบาทหนึ่งของท่านที่จะนำผลการทดลองวิจัยใน
ฟาร์มของโคนมของหน่วยงานราชการ ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมแก่ฟาร์มโคนมของเกษตรกรทั่งในกรุงเทพมหานคร
และต่างจังหวัด และตัวอาจารย์หม่อมจะเป็นผู้เดินทางไปยังฟาร์มโคนมต่างหรือสหกรณ์โคนมต่างๆ นอกจากนั้นการแปรรูป
น้ำนมและการส่งเสริมการบริโภคนมเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญ โรงนมแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่
พิสูจน์ได้ว่า อาจารย์หม่อมเห็นว่าการมีโรงงานนมที่สะอาดและทันสมัยในขณะนั้นจะช่วยรองรับการผลิตและบริโภคนม
โดยเฉพาะการบริโภคนมในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของนิสิตตั้งแต่เกิดโรงนม จนกระทั่งเมื่อไหร่ไม่ทราบแน่นอน
จะพบว่าเมื่อเปิดฝาจุดขวดนมจะเห็นไขมันนมติดบริเวณฝาจุกขวดนมนั้น นอกจากนั้นขวดนมขนาดบรรจุ 200-250 ลบ.ซม.
เป็นขวดแก้วมีข้อความ "ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร" อยู่ด้วยซึ่งเน้นว่าภาควิชาสัตวบาล มุ่งสร้างโภชนาการที่ดีแก่นิสิต
และประชาชนโดยทั่วไปอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือเป็นนมสดจากแม่โคนมในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการทำนมพร้อมดื่มตาม
โครงการนมโรงเรียน ก็ไม่ต่างไปจากที่อาจารย์หม่อมได้ประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่โครงการนมโรงเรียนของรัฐบาลใน
ปัจจุบันจะใช้นมสด เช่นเดียวกับที่อาจารย์หม่อมใช้หรือไม่ ยังเป็นคำถามอยู่

         จากคำแนะนำของอาจารย์หม่อมที่ว่า "คนไทยต้องเลี้ยงโคนม เพราะโคนมกินหญ้าที่คน (มนุษย์) ไม่กิน แล้วเปลี่ยน
มาเป็นนมที่มีคุณค่าทางอาหารแก่มนุษย์ ไม่เหมือนสัตว์อื่นที่แย่งคนกิน" และอีกคำหนึ่ง "เลี้ยงโคนมต้องมีทุ่งหญ้า เพื่อให้
โคได้กินอาหารหยาบที่มีคุณภาพ" จากคำแนะนำดังกล่าวจะเห็นว่า อาหารหยาบพวกหญ้านั้นเป็นอาหารหยาบที่สำคัญของ
โคนม และเป็นตัวชี้วัดต้นทุนการผลิตนมที่สำคัญตัวหนึ่งด้วย และเป็นดัชนีชี้บอกถึงระบบการประกันคุณภาพการผลิตโคนม
ไทยเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคในการแข่งขันของตลาดเสรีโลกปัจจุบัน บนพื้นฐานของคำว่า Animal Welfare ของ
ระบบการเลี้ยงโคนมของชาติ ซึ่งอาจารย์หม่อมได้ให้ความสำคัญตลอดมา

คำนิยม

      ประวัติศาสตราจารย์หม่อมราชวงศ์ ชวนิศนดากร วรวรรณ ได้สำเร็จลุล่วงอย่างดีเยี่ยมตามเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ก็ด้วยรายงาน คำกล่าวเอกสารสารคดีต่างๆจากอาจารย์และลูกศิษย์อาจารย์หม่อมทั้ง
หลายเช่นจาก ศาสตราจารย์ชวนชม จันทระเปารยะ อาจารย์พลทิพ โกมารกุล ณ นคร รศ.ดร. ทวี หอมชง อาจารย์บุญเหลือ
เร่งศิริกุล รศ. สมเกียรติ ทิมพัฒนพงศ์ ผศ.ดร. ยงยุทธ์ เจียมไชยศรี และอีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวนามมา . คณะผู้เขียน
(ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ขอกราบขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ด้วย รวมทั้งความกรุณาที่
คุณนงลักษณ์ วรวรรณ อาจารย์ทินกร คมกฤช ที่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นครูและความเป็นนักวิชาชีพในด้านการเลี้ยง
โคนมของอาจารย์หม่อมอีกด้วย