แหล่งของยีนที่นิยมนำมาใช้ได้แก่ยีนของไวรัส
สายพันธุกรรมของไวรัสประกอบด้วยยีนหลายยีนเรียงต่อเนื่องกันยีนที่ก่อให้เกิดความ |
||
เนื่องจากพริกพันธุ์การค้าที่เกษตรกรนิยมปลูกมีลักษณะเฉพาะที่ตลาดต้องการจึงได้ริเริ่มนำพริกพันธุ์เหล่านั้นมาปรับปรุงลักษณะทาง |
||
ปัญหาในการผลิตมะละกอ
|
||
การถ่ายยีนที่สร้างความต้านทานโรคให้กับพืช ยีนของไวรัสส่วนที่ควบคุมการสร้างโปรตีนห่อหุ้มอนุภาค (coat protein gene) เป็นยีนที่นำมาใช้ถ่ายเข้าสู่พืชเพื่อสร้างความต้าน ทานโรค เริ่มจากการโคลนยีนดังกล่าว ตัดต่อจัดสร้างเป็นพลาสมิดสำหรับถ่ายยีนเข้าสู่มะละกอ และถ่ายยีนเข้าสู่มะละกอโดยเพาะเลี้ยงเอมบริโอมะละกอ แล้วถ่ายยีนโดยใช้เทคนิคเครื่องยิงอนุภาค (particle bombardment) เพาะเลี้ยงเอมบริโอของมะละกอที่ได้รับการถ่ายยีนแล้วในอาหารเพาะเลี้ยงจน กระทั่งเจริญเป็นต้นที่สมบูรณ์ |
||
การคัดเลือกและทดสอบมะละกอจำลองพันธุ์ ตรวจหายีนสร้างโปรตีนห่อหุ้มอนุภาคไวรัส PRSV ในโครโมโซมของมะละกอจำลองพันธุ์ด้วยเทคนิค Polymerase Chain Reaction (PCR) และ Southern hybridization นำมะละกอที่ตรวจพบยีนดังกล่าวไปทดสอบความต้านทานต่อ PRSV ในเรือนปลูกพืชทดลอง |
||
สถานภาพของแมลงศัตรูฝ้าย หนอนเจาะสมอฝ้ายอเมริกัน (American bollworm, Helicoverpa armigera) เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญที่สุดของฝ้ายเป็นปัจจัย สำคัญที่จำกัดปริมาณการผลิตฝ้ายของประเทศไทย จะเห็นได้ว่า ในปี พ.ศ. 2535-36 มีการปลูกฝ้าย 560,000 ไร่ ลดลงเหลือ 246,000 ไร่ในปี พ.ศ. 2536 - 37 สาเหตุสำคัญคือการเข้าทำลายฝ้ายของหนอนเจาะสมอฝ้าย เกษตรกรต้องลงทุนสูงในการซื้อสารเคมีมาใช้ในการป้องกันกำจัดทำให้ เกษตรกร ประสบสภาพขาดทุนและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของเกษตรกร สิ่งมีชีวิตอื่นๆและสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป นอกจากนี้หนอนเจาะ สมอฝ้ายยังมีความสามารถในการพัฒนาตัวเองให้ดื้อยาฆ่าแมลงแทบทุกชนิด การควบคุมโดยอาศัยสารเคมีจึงมีประสิทธิภาพต่ำแต่เนื่องจากความต้อง การฝ้ายในอุตสาหกรรมสิ่งทอยังคงสูงมากในประเทศไทย จำเป็นต้องนำเข้าปุยฝ้ายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นทุกปีและเกษตรกรส่วนหนึ่งยังคงปลูกฝ้ายเพื่อ ให้เพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ ปัญหาการควบคุมหนอนเจาะสมอฝ้าย จึงเป็นปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาส เพิ่มรายได้ มีสุขภาพอนามัยที่ดี และรักษาสภาพแวดล้อมของภาคเกษตรกรรมมิให้เสื่อมโทรมไป |
||
แนวทางการกำจัดหนอนเจาะสมอฝ้าย เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทรูริจิเอนซิส (Bacillus thuringiensis) สร้างสารพิษที่เรียกว่า delta-endotoxin ซึ่งสามารถทำลายหนอนเจาะสมอฝ้ายได้ แบคทีเรียสะสมสารพิษในรูปผลึกโปรตีน (crystal protein) โดยอาศัยยีน (cry gene) หรือนิยมเรียกโดยทั่วไป ว่า Bt gene ที่มีความจำเพาะเจาะจงสำหรับการสร้างผลึกโปรตีนแต่ละชนิด แนวทางการพัฒนาคือการตัดแต่ง cry gene ที่ต้องการใส่เข้าไปในต้นฝ้าย เพื่อให้ฝ้ายจำลองพันธุ์ที่มี cry gene สามารถผลิตสารพิษที่ต่อต้านหรือทำลายหนอนเจาะสมอฝ้าย |
||
ความก้าวหน้าของงานวิจัยและพัฒนา สามารถถ่ายยีนสารพิษ cryIAbให้เนื้อเยื่อฝ้ายพันธุ์ศรีสำโรง 60 ได้สำเร็จ หลังจากการชักนำให้เนื้อเยื่อเหล่านี้เจริญเป็นต้นฝ้ายยังคงตรวจ พบยีน สารพิษดังกล่าวในต้นฝ้ายที่สมบูรณ์ ขณะนี้การทดลองอยู่ในระหว่างการตรวจและทดสอบประสิทธิภาพในการกำจัดหนอนเจาะสมอฝ้ายโดยให้ตัวอ่อน ของหนอนเจาะสมอฝ้ายกินใบและส่วนต่างๆของต้นฝ้ายจำลองพันธุ์ เพื่อการประเมินผลต่อไป |
||
|
||
ความต้องการเพิ่มปริมาณผลผลิตพริกภายในประเทศ
และแก้ไขปัญหาโรคพริกโดยเฉพาะโรคไวรัส
จึงจำเป็นต้องทำการผสมพันธุ์และคัดเลือกพันธุ์ |
||
โรคไวรัสที่สำคัญของพริก จากการสำรวจพริกในพื้นที่ปลูกพริกทุกภาคทั่วประเทศ พบว่าไวรัสที่พบระบาดแพร่หลายมากได้แก่ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคใบด่าง เช่น cucumber mosaic virus, chilli vein banding mottle virus หรือโรคใบหงิกเช่น pepper leaf curl virus เป็นต้น พริกมักเป็นโรคไวรัสมากกว่าหนึ่งโรคในต้น เดียวกัน ซึ่งส่งผลให้ต้นโทรม ใบไม่สมบูรณ์ ดอกร่วงไม่ติดผล และผลผลิตลดลงอย่างมากการควบคุมโรคไวรัสที่ทำกันอยู่ได้แก่การฉีดสารเคมีควบคุมแมลงพาหะ นำโรคเท่านั้น ยังไม่มีพันธุ์พริกที่ต้านทานโรคและมีลักษณะดีตามความต้องการของตลาด |
||