อายุการเก็บรักษาผักและผลไม้สดหลังเก็บเกี่ยวกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในห้างสรรพสินค้าและ/หรือการขายผลิต
ผลแบบแบ่งขาย โดยการบรรจุผักและผลไม้สดในถาดโฟม แล้วห่อด้วยฟิล์มพลาสติก หรือบรรจุในถุงพลาสติก แล้วรัดปากถุง
แม้กระทั่งในการส่งออกผัก-ผลไม้ทางเรือ ผู้ส่งออกบางท่านก็ได้มีการเลือกใช้ตู้ขนส่งผัก-ผลไม้ชนิดที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ
ควบคุมปริมาณของก๊าซออกซิเจน และ/หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาใช้ หลายท่านคงสงสัยว่าแล้วทำไมการทำเช่น
นี้จึงสามารถยืดอายุการเก็บรักษาผัก-ผลไม้ได้
          ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผัก-ผลไม้สดกันสักเล็กน้อยก่อน ความจริงแล้วผัก-ผลไม้สดที่เก็บเกี่ยวมา
จากต้นแล้วยังคงมีชีวิตอยู่ มีการหายใจซึ่งต้องนำเอาออกซิเจนไปใช้เผาผลาญอาหารสะสมที่อยู่ภายใน และปลดปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เช่นเดียวกับมนุษย์ และสัตว์ เพียงแต่ว่าอาหารสะสมที่ผัก-ผลไม้มีอยู่นั้นมีเท่าที่ได้มาจากต้น
เท่านั้น หลังจากถูกเก็บเกี่ยวหรือตัดมาจากต้นแล้ว ผัก-ผลไม้ไม่สามารถหาอาหารเพิ่มเติมให้กับตัวเองได้แล้วซึ่งแตกต่าง
ไปจากมนุษย์และสัตว์ที่สามารถบริโภคอาหารเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ดังนั้นยิ่งผัก-ผลไม้มีการหายใจและใช้อาหาร
ไปมากเพียงใด ชีวิตของผักและผลไม้ก็จะสั้นลงไปเรื่อย ๆ แล้วในที่สุดก็จะตายไป นอกจากนี้การตายของผัก-ผลไม้สดยัง
สามารถ เกิดขึ้นได้จากการเข้าทำลายของเชื้อโรค ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการที่เราไม่ดูแลเอาใจใส่ผัก-ผลไม้ให้ดี เช่น หยิบ
จับหรือวางรุนแรง ทำให้ผักและผลไม้ช้ำ มีบาดแผล หรือวางผักและผลไม้ไว้นอกตู้เย็น ทำให้ผัก-ผลไม้เหี่ยวและ/หรือสุก
สะดวกต่อการเข้าทำลายของเชื้อโรคและยังทำให้ผัก-ผลไม้หายใจมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นหากต้องการยืดอายุการเก็บ
รักษาผัก-ผลไม้ให้ยาวนานขึ้น เราก็จะต้องลดการหายใจของผักและผลไม้ลงมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ก่อให้
เกิดอันตรายกับผัก-ผลไม้นั้น และจะต้องระวังไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาทำลายผัก-ผลไม้ได้ วิธีการที่ง่ายและมีการใช้อยู่กันทั่วไป
คือ การเก็บรักษาผักและผลไม้ที่อุณหภูมิต่ำ เช่น ห้องเย็น, ตู้เย็น แต่ถ้าต้องการเก็บรักษาผลิตผลให้ได้ยาวนานกว่านั้น
ก็ควรจะใช้อุณหภูมิต่ำร่วมกับสภาพสภาพดัดแปลงบรรยากาศ
           สภาพดัดแปลงบรรยากาศคือ สภาพที่ก๊าซในอากาศมีความเข้มข้นเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพอากาศปกติโดยปกติ
อากาศมีก๊าซออกซิเจนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0.03 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเป็นก๊าซไนโตรเจน
การลดปริมาณก๊าซออกซิเจนในบริเวณที่เก็บรักษาผัก-ผลไม้ให้ต่ำลงและ/หรือเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้
สูงขึ้นในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผัก-ผลไม้นั้น โดยต้องใช้ร่วมกับอุณหภูมิต่ำ ซึ่งการเก็บรักษาผักและผลไม้ใน
สภาพบรรยากาศดัดแปลง สามารถยืดอายุการเก็บรักษาผัก-ผลไม้ได้ยาวนานขึ้น ทั้งนี้เนื่องจาก

1. ช่วยลดอัตราการหายใจของผัก-ผลไม้ให้ต่ำลงมาได้ นั่นหมายถึงอาหารสะสมภายในผัก-ผลไม้ก็จะถูกใช้ลดลงมาด้วย
2. สามารถชะลอการสุกหรือการเสื่อมสภาพของผักและผลไม้อันเนื่องมาจากก๊าซเอทิลีนที่ผักและผลไม้ผลิตขึ้นมา

           การเก็บรักษาทุเรียนในสภาพที่มีก๊าซออกซิเจน 5-7.5 เปอร์เซ็นต์ ที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส
สามารถชะลอการสุกของทุเรียนได้นาน 4 สัปดาห์ ขณะที่ผลทุเรียนที่เก็บรักษาที่สภาพบรรยากาศปกติ
(ก๊าซออกซิเจน 21 เปอร์เซ็นต์) มีการสุก เนื้อเละ และเน่าเสียเกิดขึ้น (เจริญ และคณะ, 2545) (ภาพที่ 1)

  
ภาพที่ 1 สภาพของผลทุเรียนที่เก็บรักษาในสภาพบรรยากาศปกติ (ก๊าซออกซิเจน 21 เปอร์เซ็นต์)
                (ก) และสภาพที่มีก๊าซออกซิเจน 5-7.5 เปอร์เซ็นต์
                (ข) ที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ นาน 4 สัปดาห์

3. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่อาจติดมากับผลิตผลได้ เพราะเชื้อโรคที่เจริญเติบโตบนผัก-ผลไม้ส่วนใหญ่ก็ต้องการ
ก๊าซออกซิเจนเช่นกัน

              ข้าวโพดฝักอ่อนเป็นผักชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมบริโภคทั้งภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งของข้าว
โพดฝักอ่อนก็คือ การเข้าทำลายของเชื้อโรค การเก็บรักษาข้าวโพดฝักอ่อนพันธุ์ซุปเปอร์สวีทในบรรยากาศที่มีความเข้มข้นของ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0-20 เปอร์เซ็นต์ ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 7 วัน พบว่า ข้าวโพดฝักอ่อนที่ได้รับก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ 5-20 เปอร์เซ็นต์มีอายุการเก็บรักษานานกว่า และมีการเกิดโรคน้อยกว่าข้าวโพดฝักอ่อนที่เก็บรักษาใน
บรรยากาศปกติ แต่ความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 20 เปอร์เซ็นต์จะก่อให้เกิดอันตรายแก่ข้าวโพดฝักอ่อน ทำให้ฝัก
มีสีน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น (ภาพที่ 2) (ศศิธร และจริงแท้, 2535)

ภาพที่ 2 การเกิดโรคของข้าวโพดฝักอ่อนที่เก็บรักษาในสภาพบรรยากาศปกติ (ก) และที่มีก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ 15
เปอร์เซ็นต์ (ข) ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 7 วัน บริเวณวงกลมเป็นบริเวณที่เชื้อโรคเข้าทำลาย
            ทำนองเดียวกับการบรรจุมะม่วงมหาชนกในถาดโฟมหุ้มพลาสติกโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 10
องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ นาน 5 สัปดาห์ พบการเกิดโรคน้อยกว่าผลมะม่วงที่บรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูก
(ภาพที่ 3) อย่างไรก็ตามเมื่อทิ้งให้ผลสุกที่อุณหภูมิห้องพบว่าไม่สามารถใช้วิธีการดังกล่าวนี้ในการเก็บรักษาผลมะม่วงมหาชนก
ได้เนื่องจากผลมะม่วงเกิดกลิ่นและรสชาติผิดปกติขึ้น (อภิตาและคณะ, 2542)
ภาพที่ 3 สภาพการเกิดโรคของมะม่วงมหาชนกที่บรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูก (control)
และถาดโฟมหุ้มด้วยพลาสติกโพลีไวนิลคลอไรด์ เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส
ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ นาน 5 สัปดาห์

            4. ยับยั้งพัฒนาการของผัก-ผลไม้ ในผลิตผลที่ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเก็บเกี่ยวมาแล้ว เช่น
การเพิ่มขึ้นของเส้นใยในหน่อไม้ฝรั่ง หรือที่เราเรียกกันว่าเสี้ยนสภาพบรรยากาศดัดแปลงจะช่วยชะลอการ
สร้างเส้นใยในหน่อไม้ฝรั่งได้ และการเปลี่ยนแปลงสีฝักและสีเมล็ดของถั่วเหลืองฝักสด

             การเก็บรักษาหน่อไม้ฝรั่งในสภาพที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 0-14 เปอร์เซ็นต์ ที่อุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส
นาน 3 สัปดาห์ พบว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 14 เปอร์เซ็นต์ สามารถชะลอการเพิ่มขึ้นของเส้นใยได้ดีที่สุด (ตารางที่ 1)
(ธีรนุต และคณะ, 2534)

ตารางที่ 1 การเพิ่มขึ้นของเส้นใย (เสี้ยน) หลังจากเก็บรักษาหน่อไม้ฝรั่งในสภาพที่มีก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ 0-14
เปอร์เซ็นต์ ณ อุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 3 สัปดาห์
           สำหรับถั่วเหลืองฝักสดที่เก็บรักษาในสภาพบรรยากาศที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 5 เปอร์เซ็นต์ ที่อุณหภูมิ 1
องศาเซลเซียส สามารถชะลอการเปลี่ยนสีเมล็ดภายในฝักถั่วเหลืองได้นาน 4 สัปดาห์ (ภาพที่ 4) (ธีรนุต และเจริญ, 2536)
ภาพที่ 4 สีเมล็ดของถั่วเหลืองฝักสดที่เก็บรักษาใน สภาพ บรรยากาศปกติ
(CO2 0 เปอร์เซ็นต์) และสภาพที่มีก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ 5 เปอร์เซ็นต์
ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ ที่อุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 4 สัปดาห์

             5. ช่วยให้สามารถเก็บรักษาผัก-ผลไม้ที่อุณหภูมิต่ำลงมากว่าอุณหภูมิเก็บรักษาปกติได้ ผัก-ผลไม้ส่วนใหญ่หากเก็บรักษา
ไว้ในอุณหภูมิที่ต่ำเกินกว่าที่ผัก-ผลไม้จะทนทานได้ จะเกิดอาการที่เรียกว่า อาการสะท้านหนาว (chilling injury)

             ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิต่ำที่เหมาะสมในการเก็บรักษามะม่วงมหาชนกโดยไม่ก่อให้เกิดอาการสะท้านหนาวคือ 12 องศาเซลเซียส
สามารถเก็บรักษาได้นาน 3 สัปดาห์ แต่หากเก็บรักษาผลมะม่วงไว้ที่ 10 องศาเซลเซียส จะพบอาการสะท้านหนาวเกิดขึ้น โดยเนื้อภาย
ในบริเวณใกล้กับเมล็ดฉ่ำไปด้วยน้ำ เกิดเสี้ยนสีน้ำตาลถึงสีดำปรากฏให้เห็นทั่วไป โดยอาการจะปรากฏชัดเจนมากเมื่อผลมะม่วงสุก
(อภิตาและคณะ, 2542-43) (ภาพที่ 5)

ภาพที่ 5 อาการสะท้านหนาว (chilling injury) ของมะม่วงมหาชนกอายุ 123 วันหลังจากดอกบาน บรรจุในกล่องกระดาษลูกฟูก
เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 10 และ 12 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์ นาน 3 สัปดาห์ แล้วจึงนำออกมาไว้ที่อุณหภูมิ
ห้องเป็นเวลา 3 วัน
               อย่างไรก็ตามหากต้องการเก็บรักษาที่ 10 องศาเซลเซียส ก็สามารถทำได้ โดยต้องเก็บรักษาผลมะม่วงในสภาพที่มี
การลดปริมาณของก๊าซออกซิเจนให้ลงมาเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้สูงขึ้นเป็น 10-15
เปอร์เซ็นต์ สามารถยืดอายุการเก็บรักษาได้นานถึง 4 สัปดาห์ อีกทั้งยังสามารถลดการเข้าทำลายของเชื้อโรคได้ด้วยจากการ
ศึกษาพบว่าการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 10-15 เปอร์เซ็นต์เพียงอย่างเดียวกลับทำให้มะม่วงมหาชนกเกิดความเสียหาย
อันเนื่องมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ความเข้มข้นสูงได้ โดยจะพบอาการเปลือกไหม้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เนื้อภายในบริเวณ
ใกล้ผิวเปลือกจะเกิดอาการเนื้อไหม้เช่นกัน (ภาพที่ 6)

อาการเปลือกไหม้ เนื่องจากได้รับก๊าซคาร์บอน-
ไดออกไซด์ ความเข้มข้นสูง 10 %

<--
อาการเปลือกไหม้ เนื่องจากได้รับก๊าซคาร์บอน-
ไดออกไซด์ ความเข้มข้นสูง 15 %
-->
ภาพที่ 6 มะม่วงมหาชนกเก็บรักษาในสภาพบรรยากาศปกติ (control) และสภาพที่มีก๊าซออกซิเจน 10 เปอร์เซ็นต์
และ/หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90 เปอร์เซ็นต์
นาน 4 สัปดาห์ แล้วจึงนำออกมาไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 3 วัน

            อย่างไรก็ตามการเก็บรักษาผักและผลไม้สดภายใต้สภาพบรรยากาศดัดแปลงจำเป็นต้องคำนึงถึง ชนิดของผลิตผลด้วยว่าเป็น
ชนิดใด ตลอดจนวัยและความบริบูรณ์ของผลิตผลนั้น ๆ เนื่องจากผักและผลไม้ต่างชนิดกันอัตราการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงทาง
ชีวเคมีไม่เท่ากัน ทำให้มีการใช้ก๊าซออกซิเจน ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเอทิลีนไม่เท่ากัน อีกทั้งอุณหภูมิในการเก็บรักษา
ยิ่งสูงมากเท่าไร อัตราปฏิกิริยาต่าง ๆ ของผักและผลไม้ก็จะยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น และหากภาชนะบรรจุผักและผลไม้ที่เท่ากัน
การบรรจุผักและผลไม้มากหรือน้อยก็ยังมีผลต่อการใช้ก๊าซออกซิเจน และการสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย นอกจากนี้หากภาชนะ
บรรจุมีคุณสมบัติยอมให้ก๊าซผ่านเข้าออกได้มาก ก็จะทำให้องค์ประกอบของก๊าซภายในภาชนะบรรจุใกล้เคียงกับบรรยากาศปกติมาก
กว่าภาชนะบรรจุที่ยอมให้ก๊าซผ่านเข้าออกได้น้อยกว่า

            จะเห็นได้ว่าสภาพบรรยากาศดัดแปลงบรรยากาศนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะนำมาใช้ในการยืดอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้
สดให้ยาวนานขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตผลให้สูงขึ้นได้เนื่องจากสามารถช่วยยืดอายุการเก็บรักษาได้นานกว่าการ ใช้อุณหภูมิ
ต่ำเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามการจะเลือกใช้วิธีการดังกล่าวนี้ได้สำเร็จหรือไม่นั้นยังต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ตลอดจนต้นทุนการผลิตว่าคุ้มค่าหรือไม่ในการเลือกใช้วิธีการนี้ในการยืดอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้สด


อภิดา บุญศิริ
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กำแพงแสน