การลงทุนด้านการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในประเทศไทย
Capital budgeting sport and exercise for health in Thailand

                นับตั้งแต่สังคมไทยมีนโยบายและยุทธศาสตร์ส่งเสริมการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นมาตรการและกลไกสำคัญยิ่งในกระบวนการส่งเสริมสุขภาพให้ประชาชนไทยมีสุขภาวะอนามัยดีขึ้น มีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น  ลดภาวะเจ็บป่วย พิการ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  และประการสำคัญ คือ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนที่เจ็บป่วยและเสียชีวิต ซึ่งสูงถึงปีละ 2-2.5 แสนล้านบาท (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ , 2550) โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายจากการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคเรื้อรัง เช่น ภาวะโรคเบาหวาน  โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคอาหารไม่ถูกต้อง และขาดการออกกำลังกาย  โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ  หน่วยงานมิใช่ภาครัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดแผนงาน โครงการ และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพที่มีนัยยะสำคัญกับกลุ่มเป้าหมาย และจัดสรรงบประมาณลงในโครงการขนาดเล็กและโครงการขนาดใหญ่ จำนวนนับหลายล้านบาท เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม เกื้อหนุนให้คนไทยมีการออกกำลังกาย และกีฬาเป็นวิถีชีวิต   เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เทคโนโลยี นวัตกรรม ตลอดจนสร้างทุนทางสังคม วัฒนธรรมในด้านการกีฬาและออกกำลังกาย  ครอบคลุมในพื้นที่สังคมเมือง  และชนบท จนถึงพื้นที่ในภูมิภาคที่ห่างไกล ด้วยประเด็นตรรกะดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดคำถามที่ควรแสวงหาคำตอบว่าสังคมไทยมีการลงทุนด้านกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเป็นจำนวนเงินเท่าไร และแนวโน้มของการลงทุนอยู่ในรูปแบบโครงการลักษณะใดบ้าง เพื่อจะได้ฐานข้อมูลในการตัดสินใจในการวางแผนและจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับนโยบายต่อไป

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

  1. เพื่อศึกษางบประมาณการลงทุนด้านการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
  2. เพื่อศึกษาต้นทุนต่อหน่วยประชากรของการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
  3. เพื่อศึกษาประเภทของโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

วิธีดำเนินการวิจัย

                 การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาพรรณาแบบย้อนหลัง (Retrospective descriptive study) ทำการเก็บข้อมูลการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ 2548-2552 จากพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ ตาก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ นครปฐม ราชบุรี นครนายก ชลบุรี นครราชสีมา นครพนม นครศรีธรรมราช สงขลา และ             สุราษฎร์ธานี  โดยเก็บข้อมูลงบประมาณการลงทุนในโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพจากหน่วยงาน  5 แห่ง  คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  องค์กรบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาลนคร/เทศบาลเมือง และนำมาวิเคราะห์เชิงพรรณนา จำนวน ร้อยละ อัตราส่วน และต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost)

ผลการศึกษา

             1. งบประมาณการลงทุนด้านการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

                 การจัดสรรงบประมาณการลงทุนด้านการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของภาครัฐดำเนินการผ่านหน่วยงานหลัก 3 หน่วย คือ 1) หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ3) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งการดำเนินงานของหน่วยงานทั้ง 3 จะมีลักษณะการบริหารจัดการงบประมาณและวิธีการจัดสรรไปยังกลุ่มเป้หมายแตกต่างกัน ผลการวิเคราะห์ครั้งนี้ พบว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นทุกปี และอัตราการลงทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1 เท่าต่อปี ดังภาพที่ 1

ภาพที่ 1  แสดงแนวโน้มจำนวนงบลงทุนระดับจังหวัด ช่วงระหว่างปี 2548-2552

              นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการลงทุนของหน่วยลงทุนระดับจังหวัดทั้ง 5 หน่วยงาน แสดงให้เห็นว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นหน่วยงานที่มีการลงทุนมากที่สุด เท่ากับ 260,047,684 บาท ถัดมา คือ  สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด  และเทศบาลนคร/เทศบาลเมือง จำนวนเงินลงทุนเท่ากับ 229,489,513 และ 149,758,674 บาท  ตามลำดับ  ส่วนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีการลงทุนน้อยที่สุด เท่ากับ 35,717,750 บาท ดังภาพที่ 2

ภาพที่ 2  แสดงการเปรียบเทียบการลงทุนรายหน่วยงาน



             2.ประเภทของโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

                     จากการเก็บข้อมูลโครงการทั้ง 2,095 โครงการ และได้นำมาวิเคราะห์จำแนกประเภทโครงการ พบว่า ประเภทของโครงการที่นิยมดำเนินการมากที่สุด คือ โครงการกีฬามวลชน ร้อยละ 25.16 รองลงมาได้แก่ โครงการกีฬาและนันทนาการของกลุ่มนักเรียน เยาวชน โครงการรณรงค์แก้ปัญหาสุขภาพเฉพาะประเด็น โครงการพัฒนาศักยภาพ ร้อยละ 19.95, 13.56 และ 13.13 ตามลำดับ ส่วนโครงการที่มีการดำเนินการน้อยที่สุด ได้แก่ โครงการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพสำหรับบุคคลด้อยโอกาส และโครงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของกลุ่มวัยผู้สูงอายุ ร้อยละ 1.10 และ 1.29 ตามลำดับ ดังตารางที่ 1 ประกอบกับเมื่อพิจารณางบลงทุนที่ดำเนินในแต่ละโครงการก็มีความสอดคล้องกับจำนวนโครงการ โดยพบว่า โครงการกีฬามวลชนมีงบลงทุนมากที่สุด ร้อยละ 32.30 จากจำนวนงบลงทุนทั้งหมด โดยมีอบจ.เป็นผู้จัดสรรจำนวนสูงที่สุด รองลงมาได้แก่ งบลงทุนในโครงการกีฬาและนันทนาการของกลุ่มนักเรียน เยาวชน คิดเป็นร้อยละ 27.44 ซึ่งมีสำนักงานกีฬาและท่องเที่ยวจังหวัดเป็นผู้จัดสรรงบประมาณจำนวนสูงสุด และงบลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคิดเป็นร้อยละ 15.76 โดยมีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดสรรงบประมาณจำนวนสูงที่สุด ส่วนโครงการที่มีการลงทุนน้อยที่สุด ได้แก่ โครงการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของกลุ่มวัยผู้สูงอายุ และโครงการออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพสำหรับบุคคลด้อยโอกาส ร้อยละ 0.14 และ 0.23 ตามลำดับ ดังภาพที่ 3

ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและร้อยละโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ 13 จังหวัด

จังหวัด

ประเภทโครงการ

รณรงค์-สร้างกระแส
สุขภาพ

พัฒนา
ศักยภาพ

กีฬา
มวลชน

พัฒนา
โครงสร้าง
พื้นฐาน

กีฬา
นักเรียน เยาวชน

ออกกำลังกาย
กลุ่มวัยผู้สูงอายุ

ออกกำลังกาย
กลุ่มด้อยโอกาส

แก้ปัญหาสุขภาพ
เฉพาะประเด็น

เครือข่าย
ชมรม

1. เพชรบูรณ์

9 (4.79)

40 (21.28)

35 (18.62)

15 (7.98)

16 (7.98)

5 (2.66)

3 (1.6)

59 (31.38)

7 (3.72)

2. ตาก

5(4.35)

17(14.78)

20(17.39)

14(12.17)

18(15.65)

1(0.87)

0

35(30.43)

5(4.35)

3. อุตรดิตถ์

0

4(2.46)

43(29.66)

7(4.83)

29(20.0)

2(1.38)

0

40(27.59)

20(13.79)

4. นครสวรรค์

7(4.67)

13(8.67)

42(2.67)

4(2.67)

51(34.0)

2(1.33)

3(2.0)

16(10.67)

12(8.00)

5. นครปฐม

1(0.95)

10(9.52)

26(24.76)

12(11.43)

18(17.14)

3(2.86)

2(1.9)

10(9.52)

23(21.9)

6. ราชบุรี

0

10(5.85)

57(33.33)

18(10.53)

53(30.99)

5(2.92)

0

11(6.43)

17(9.94)

7. นครพนม

5(3.05)

29(17.68)

11(6.71)

30(18.29)

37(22.56)

0

0

18(10.98)

34(20.73)

8. นครราชสีมา

0

6(5.0)

69(57.5)

0

21(17.5)

1(0.83)

2(1.67)

11(9.17)

10(8.33)

9. นครนายก

10(9.01)

8(7.21)

42(37.84)

3(2.7)

25(22.52)

0

0

22(19.82)

1(0.90)

10. ชลบุรี

20(10.93)

23(12.57)

47(25.68)

14(7.65)

42(22.95)

1(0.55)

2(1.09)

22(12.02)

12(6.56)

11. สงขลา

43(13.48)

52(16.3)

69(21.63)

38(11.91)

54(16.93)

4(1.25)

1(0.31)

34(10.66)

24(7.52)

12.นครศรีธรรมราช

11(7.19)

37(24.18)

34(22.22)

15(9.80)

29(18.95)

2(1.31)

5(3.27)

2(1.31)

18(11.76)

13.สุราษฎร์ธานี

25(12.89)

26(13.4)

32(16.49)

26(13.4)

49(25.26)

1(0.52)

5(2.58)

4(2.06)

26(13.4)

รวม

136(6.49)

275(13.13)

527(25.16)

196(9.36)

418(19.95)

27(1.29)

23(1.1)

284(13.56)

209(9.98)

ภาพที่ 3 แสดงร้อยละของงบประมาณจำแนกตามประเภทโครงการด้านการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

 

                  3. ต้นทุนต่อประชากรในโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

                   ผลของการคำนวณงบลงทุนต่อหัวประชากร (Unit cost) 5 ปี ย้อนหลัง พบว่า งบประมาณต่อประชากร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี  เฉลี่ยรายปีเท่ากับ 10.36, 12.29,  12.27, 13.64 และ 20.93 บาท/คน/ปี  ตามลำดับ โดยเฉลี่ยทั้ง 5 ปี เท่ากับ 13.90 บาท/คน/ปี  ดังภาพที่ 4

ภาพที่ 4 แสดงค่าเฉลี่ยงบลงทุนต่อหัวประชากร  (Unit cost)

สรุปและอภิปรายผล

                 งบประมาณการลงทุนด้านการส่งเสริมออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพของประเทศไทยในระยะ 5 ปี   ที่ผ่าน เป็นจำนวนเงินสูงถึง 679,854,402 บาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี  จังหวัดสงขลามีการลงทุนสูงสุด รองลงมา คือ สุราษฎร์ธานี และนครราชสีมา ตามลำดับโดยที่สัดส่วนเงินลงทุนในโครงการกีฬามวลชนมากที่สุด แต่ผู้วิจัยมีข้อสังเกตว่าโครงการประเภทส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุและกลุ่มด้อยโอกาส ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพมีการลงทุนในสัดส่วนน้อยที่สุด  ซึ่งสภาพดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของกลุ่มวัยทั้งสองกลุ่มที่จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสุขภาพ  (Risk groups)  ซึ่งข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (2550) พบว่าประชาชนอายุ 35 ปีขึ้นไปมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย  สะท้อนถึงในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาการลงทุนทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยมีกิจกรรมการออกกำลังกายและเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ  ยังไม่สามารถจัดการปัญหาความเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีสาเหตุมาจากการขาดการออกกำลังกาย หรือการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ (Physical inactivity) ซึ่งนับวันจะเป็นปัญหาสุขภาพที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต   (WHO, 2003) อาจเป็นไปได้ว่ารูปแบบโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายที่ดำเนินการอยู่ยังไม่สนองตอบกับสภาพของปัญหาสุขภาพในปัจจุบัน ฉะนั้นทิศทางนโยบายการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในอนาคต ควรต้องทำการทบทวนใหม่เพื่อแก้ไขและจัดการปัญหาสุขภาพดังกล่าว

ข้อเสนอแนะเชิงโยบาย

                 1)  ควรสนับสนุนการลงทุนด้านการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเร่งแก้ไขปัญหาโรคติดต่อไม่เรื้อรัง ((NCDs)  อันเป็นภาระสาธารณสุขของประเทศที่สำคัญ ซึ่งในระยะสั้นและระยะยาวการลงทุนในโครงการส่งเสริมกีฬาและออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ต้องมุ่งเจาะจงกลุ่มเป้าหมายตามกลุ่มวัย กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มเฉพาะมากขึ้น  เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและแก้ไขปัญหาสุขภาพได้ตรงตามเป้าหมาย  และสนับสนุนกิจกรรมทางกาย (Physical activity) ในทุกกลุ่มวัย 
                 2) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกระดับควรเพิ่มนโยบายสาธารณะสุขภาพและเพิ่มการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพกาย เช่น ถนนขี่จักรยาน การเดินทางเพื่อสุขภาพ เป็นต้น
                 3)  หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ควรเพิ่มการลงทุนด้านการผลิตผู้นำออกกำลังกายรุ่นใหม่ พร้อมกับการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการส่งเสริมออกกำลังกายเพื่อสุขภาพให้กับผู้นำการออกกำลังกายในท้องถิ่น จะช่วยให้พัฒนาการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพด้วยการออกกำลังกายในชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ

ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
                1) ในปัจจุบันประเทศไทยยังขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ด้านมิติความประหยัดเชิงเศรษฐศาสตร์ในกลุ่มกิจกรรมทางกาย การออกกำลังกายและกีฬาเพื่อสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเต้นแอโรบิค การรำไม้พลอง การขี่จักรยาน  หน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องควรสนับสนุนให้มีการวิจัยด้านนี้ให้มากขึ้น
                2)  การศึกษาครั้งต่อไปควรจะทำการศึกษาต้นทุนและประสิทธิผล ของโครงการประเภทต่าง ๆ  เพื่อจะได้ทราบถึงความคุ้มค่าของการลงทุนของแต่ละประเภทโครงการ  ซึ่งตัวชี้วัดผลลัพธ์สุขภาพอาจพิจารณาตามภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพของกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ

 

 



 

คณะผู้วิจัย
ดร.อัจฉรา ปุราคม หน่วยงาน
ภาควิชาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
โทร 034-355606 ต่อ 504, 089-0731329