ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน
โดยใช้แนวคิดฐานปัญญาของนักเรียนโรงเรียนสองพี่น้องวิทยา จังหวัดสุพรรณบุรี
Achievement with the inner step skill on brain based learning model
of students at Songphinongwitthaya School in SuphanBuri Province.

                  การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพของนักเรียนในแต่ละคนนั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขเพื่อการเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคนเก่งและสำคัญที่สุดต้องเป็นคนดีของสังคม ผลจากการสังเกตในเบื้อต้นของผู้วิจัย พบว่านักเรียนมีปัญหาในการเรียนด้านวิชาการได้ในช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นนักเรียนจะไม่ให้ความสนใจในการเรียนในด้านวิชาการ เช่น ประวัติ กติกา เป็นต้น และนักเรียนไม่สามารถจดจำกติกา ท่าทางผู้ตัดสินได้ เป็นต้นหลักจากเรียนผ่านพ้นไปแล้ว โดยพิจารณาจาการทบทวนความรู้ที่ได้ทำการเรียนการสอนไปของนักเรียน นอกจากนี้นักเรียนและครูผู้สอนได้ทำการเสนอแนะ คือ อยากให้มีการจัดกิจกรรมจิตตปัญญาเพิ่ม มีการจัดกิจกรรมแอโรบิกในตอนเช้าหน้าแถว และเป็นกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดจากเรียนในรายวิชาต่างๆ รวมเป็นหลักสูตรที่ดีในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและควรมีการส่งเสริมทางด้านวิชาการทางพลศึกษา

                  จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่านักเรียนมีสมาธิในการเรียนช่วงสั้นๆ ความสนใจในการเรียนน้อย พัฒนาการด้านสมองของนักเรียนไม่ดีเท่าที่ควร รวมถึงครูผู้สอน ผู้บริหารโรงเรียน และนักเรียนต้องการให้มีการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แนวคิดเพื่อที่จะได้พัฒนาสมอง สมาธิ และนำไปบูรณาการในรายวิชาอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการให้นักเรียนได้มีการพัฒนากระบวนการคิดและสติปัญญาในทั้งสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะกีฬาตะกร้อ โดยใช้แนวคิดฐานปัญญา

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

  1. เพื่อพัฒนาทักษะ กระบวนการคิด การเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในโดยใช้แนวคิดฐานปัญญา
  2. เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนวิชาตะกร้อเรื่องทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในเพื่อให้เกิดความสนุกสนานในการเรียน

ขอบเขตการทำวิจัย
      กลุ่มประชากร  ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2553 จำนวน 154 คนโรงเรียนสองพี่น้องวิทยา จังหวัดสุพรรณบุรี
      กลุ่มตัวอย่าง  เป็นการสุ่มอย่างง่ายในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4/1 ที่ทำการเรียนรายวิชาตะกร้อประจำปีการศึกษา 2553 จำนวน 41 คนโรงเรียนสองพี่น้องวิทยา จังหวัดสุพรรณบุรี

วิธีการดำเนินการวิจัย

  1. ทำการสำรวจปัญหาการเรียนการสอนในเบื้องต้นและความต้องการเรียนการสอนรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดฐานปัญญา เพื่อเป็นการนำไปพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาพลศึกษา
  2. ทำการทดสอบก่อนเรียนในด้านทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน ของ สมประสงค์ มณฑลผลิน(2546) และการสอบอัตนัยวัดความรู้ทางการเรียน 4 ข้อ ในเรื่องทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน โดยทำการหาค่าค่าอำนาจจำแนกและความยากง่าย  (Sabers, 1970)
  3. ดำเนินการเรียนการสอนจำนวน 3 แผน เรื่องทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสองพี่น้องวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โดยการประเมินการสอนระหว่างเรียน จากใบงาน แบบประเมินงานกลุ่ม สมุดประเมินตนเอง ในแต่ละชั่วโมง
  4. หลังจากการสิ้นสุดการเรียนการสอนทำการทดสอบหลังเรียน ทั้งทักษะปฏิบัติและวัดความรู้จากการสอบอัตนัยโดยการสอบวิธีเดิมข้อสอบชุดเดิมรวมทั้งสำรวจความพึงพอใจในการเรียนการสอนทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน
  5. นำผลข้อมูลมาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบก่อนเรียนกับหลังเรียนทางสถิติ หาค่าความต่างของสถิติ ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน

ภาพที่ 1 บรรยากาศการเรียนการสอน

เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

               ในการดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะกีฬาเซปักตะกร้อสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย  6  รายการดังนี้ 1)  แผนการการจัดการเรียนรู้ทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในตามแนวคิดฐานปัญญา 2) แบบทดสอบวัดความรู้การเดาะตะกร้อข้างเท้าด้านใน 3) แบบทดสอบทักษะปฏิบัติการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน 4) แบบสำรวจความพึงพอใจในการเรียนการสอน  5) สมุดประเมินตนเอง 6) แบบสอบถามความต้องการรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดฐานปัญญา

การวิเคราะห์ข้อมูล

  1. แผนการการจัดการเรียนรู้ทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในตามแนวคิดฐานปัญญา ทำการหาประสิทธิภาพในการเรียนการสอน E1และ E2
  2. แบบทดสอบอัตนัยวัดความรู้เดาะตะกร้อข้างเท้าด้านในและทดสอบปฏิบัติทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในหาค่าร้อยละและทำการแบ่งกลุ่มของข้อมูล
  3. แบบสำรวจความพึงพอใจในการเรียนการสอน หาค่าเฉลี่ย () และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. )

สรุปผลการวิจัย

           จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนทักษะตะกร้อการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในตามแนวคิดฐานปัญญา มีข้อสรุปดังนี้

  1. ผลการทดสอบหาประสิทธิภาพ เปรียบเทียบ E1 และ E2ของแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในตามแนวคิดฐานปัญญา อยู่ในเกณฑ์ 90 / 90 ของ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2550) ผลการทดลองนักเรียนสามารถทำคะแนนแบฝึกหัดของแผนการจัดการเรียนรู้ได้ 92.98 และคะแนนการสอบหลังเรียนได้ 90.25 มีประสิทธิภาพ 92.98 / 90.25
  2. ผลการทดสอบก่อนกับหลังเรียนนั้นมีการพัฒนาขึ้นทั้งด้านทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในก่อนเรียนค่าเฉลี่ยจำนวนลูกตะกร้อที่เดาะได้คือ7.37 หลังเรียนได้ 11.12  และการสอบอัตนัยก่อนเรียนได้ 21.15 หลังเรียนได้ 36.10  
  3. อัตราเพิ่มขึ้นของผลการสอบอัตนัยวัดความรู้ทางการเรียนการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในตามแนวคิดฐานปัญญาโดยแบ่งกลุ่มโดยใช้ทฤษฎีการแบ่งกลุ่มทางสังคม (Social Categories Theory)

ตารางที่ 1 แสดงอัตราเพิ่มขึ้นของผลการสอบอัตนัยวัดความรู้ทางการเรียนการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในโดยวิธีการแบ่งกลุ่ม

กลุ่มที่

กลุ่มของอัตราของคะแนนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน (ร้อยละ)

จำนวน

ร้อยละ

1

50 – 59

1

2.44

2

40 – 49

15

36.59

3

30 – 39

21

51.22

4

20 – 29

4

9.76

  1. อัตราเพิ่มขึ้นของผลการสอบปฏิบัติทักษะเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในตามแนวคิดฐานปัญญาโดยแบ่งกลุ่มโดยใช้ทฤษฎีการแบ่งกลุ่มทางสังคม (Social Categories Theory)

ตารางที่ 2 แสดงอัตราเพิ่มขึ้นของผลการสอบทักษะปฏิบัติทางการเรียนการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านในโดยวิธีการแบ่งกลุ่ม

กลุ่มที่

กลุ่มของอัตราของจำนวนลูกที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเทียบจำนวนลูกก่อนเรียนกับหลังเรียน

จำนวน

ร้อยละ

1

9 – 11

2

4.88

2

6 – 8

6

14.63

3

3 – 5

16

39.02

4

0 – 2

17

41.46

  1. ความพึงพอใจในเชิงบวก จำนวน 5 ข้อพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจ () เท่ากับ 4.69 อยู่ในเกณฑ์มากที่สุดของของลิเคิร์ท เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ 3 อันดับแรกพบว่า 1)นักเรียนมีความคิดเห็นว่าเนื้อหารายวิชาตะกร้อมีการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับนักเรียน () เท่ากับ4.85 2)นักเรียนสามารถนำความรู้ทักษะการเดาะลูกข้างเท้าด้านในไปใช้ในการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย () เท่ากับ 4.63 3)ผู้เรียนได้เทคนิค ความรู้ ทักษะการเดาะลูกข้างเท้าด้านใน วิชาตะกร้อ () เท่ากับ 3.63 ตามลำดับ

  2. ความพึงพอใจในเชิงลบ จำนวน 5 ข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอในเชิงลบ () เท่ากับ 2.85 อยู่ในเกณฑ์ปานกลางของลิเคิร์ท เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ 3 อันดับแรกพบว่า 1)เนื้อหารายวิชาตะกร้อที่ทำการสอนเป็นวิชาทีน่าเบื่อ () เท่ากับ3.51 2)ข้อสอบในการประเมินยากเกินไป  เท่ากับ 3.12 3)ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้จากกิจกรรมการเรียนการสอนตะกร้อไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ () เท่ากับ 2.85 ตามลำดับ

การอภิปรายผล 

             จากผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีพัฒนาเรื่องความรู้และทักษะการเดาะตะกร้อด้วยข้างเท้าด้านใน โดยดูจากค่าสถิติทางคณิตศาสตร์อัตราค่าร้อยละที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มใหญ่ที่สุด คือนักเรียนส่วนใหญ่มีอัตราของกลุ่มคะแนนเพิ่มขึ้นจำนวน 21 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 51.22  ซึ่งอยู่ในช่วงของกลุ่มคะแนนที่เพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 30 – 39 และนักเรียนส่วนใหญ่ที่สุดมีอัตราของกลุ่มจำนวนการเดาะตะกร้อที่เพิ่มขึ้นจำนวน 17 คน คิดเป็นอัตราร้อยละ 41.46 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งอยู่ในช่วงของกลุ่มจำนวนการเดาะตะกร้อที่เพิ่มขึ้นระหว่าง 0 – 2 โดยใช้ ทฤษฎีการแบ่งกลุ่มทางสังคม  (Social Categories Theory) อย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า นักเรียนได้เรียนรู้ทักษะปฏิบัติ ความคิดรวบยอด ใบงาน ในการเรียนการสอนทำให้นักเรียนได้เกิดการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด

 

ภาพที่ 2 บรรยากาศการเรียนการสอนการเดาะตะกร้อวง

ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้

  1. จากผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้แนวคิดฐานปัญญาสามารถช่วยให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์เป็นพร้อมปฏิบัติทักษะไปด้วย ดังนั้นครูผู้สอนควร นำกิจกรรมรูปแบบการสอนแนวคิดฐานปัญญานำไปใช้ในการเรียนการสอนในวิชาต่างๆเพื่อสามารถพัฒนาด้านสมองและทักษะปฏิบัติไปพร้อมๆกัน
  2. จากผลการเก็บข้อมูลงานวิจัย พบว่า นักเรียนหญิงชอบเรียนกีฬาตะกร้อน้อยกว่านักเรียนชาย ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้พลศึกษาจึงควรคำนึงถึงเพศของผู้เรียนเป็นสำคัญเพื่อให้มีความเหมาะสมกับนักเรียนมากที่สุด เช่น นักเรียนหญิงควรที่ให้มีการเรียนการสอน กีฬาวอลเล่ย์บอล ลีลาศ กิจกรรมเข้าจังหวะ เป็นต้น
  3. จากการทดลองพบว่านักเรียนไม่ชอบการสอบที่เป็นอัตนัย ดังนั้นครูผู้สอนควรชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการสอบข้อสอบอัตนัย ความจำเป็นโดยให้เหตุผลกับนักเรียนจนเกิดความเข้าใจ

ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป

  1. ควรมีการศึกษาการจัดทำการวิจัยโดยใช้ในแนวคิดฐานปัญญาทั้งหลักสูตรในรายวิชาทางพลศึกษา
  2. ควรศึกษาในปัจจัยด้าน สถานที่ บรรยากาศ ปัญหาการเรียนการสอน เพศ หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการเรียนการสอน

 



คณะผู้วิจัย
นายไพศาล แสวงหา
ภาควิชาพลศึกษาและกีฬา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
โทร. 086-410-9475