ไบโอชาร์ (Biochar) คืออะไร
ไบโอชาร์ (Biochar) หรือเรียกในภาษาไทยว่าไบโอชาร์ คือ วัสดุที่อุดมด้วยคาร์บอน ผลิตจากการให้ความร้อนมวลชีวภาพ (biomass) โดยไม่ใช้ออกซิเจนหรือใช้น้อยมาก เรียกกระบวนการนี้ว่าการแยกสลายด้วยความร้อน (pyrolysis) ซึ่งมีสองวิธีหลักๆคือการแยกสลายอย่างเร็วและอย่างช้า การผลิตไบโอชาร์ด้วยวิธีการแยกสลายอย่างช้าที่อุณหภูมิเฉลี่ย 500 องศาเซลเซียส จะได้ผลผลิตของไบโอชาร์มากกว่า 50% แต่จะใช้เวลาเป็นชั่วโมง ซึ่งต่างจากวิธีการแยกสลายอย่างเร็วที่อุณหภูมิเฉลี่ย 700 องศาเซลเซียส ซึ่งใช้เวลาเป็นวินาที ผลผลิตที่ได้จะเป็นน้ำมันชีวภาพ (bio-oil) 60% แก๊สสังเคราะห์ (syngas) ได้แก่ H2, CO และ CH4 รวมกัน 20% และ ไบโอชาร์ 20% (Winsley, 2007; Zafar,2009) Biochar มีความหมายแตกต่างจาก Charcoal (ถ่านทั่วไป) ตรงจุดมุ่งหมายของการใช้ประโยชน์ คือเมื่อกล่าวถึง Charcoal จะหมายถึงถ่านที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ขณะที่ Biochar คือถ่านที่ใช้ประโยชน์เพื่อกักเก็บคาร์บอนลงดินและปรับปรุงดิน (Ricks,2007) การกักเก็บคาร์บอนในดินด้วยการแยกสลายมวลชีวภาพด้วยความร้อนจะได้คาร์บอนถึง 50% ของคาร์บอนที่มีอยู่ในมวลชีวภาพ คาร์บอนที่ได้จากการเผามวลชีวภาพจะเหลือเพียง 3% และจากการย่อยสลายโดยธรรมชาติหลังจาก 5-10 ปี จะได้คาร์บอนน้อยกว่า 20% ปริมาณของคาร์บอนที่ได้จะขึ้นกับชนิดของมวลชีวภาพ สำหรับอุณหภูมิจะมีผลน้อยมากถ้าอยู่ระหว่าง 350-500 องศาเซลเซียส (Lehmann et al.,2006)
ประโยชน์ของไบโอชาร์ สามารถสรุปได้ 4 ประการหลักดังนี้
- ช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เนื่องจากไบโอชาร์สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศในระยะยาวได้ด้วยการกักเก็บคาร์บอนในดิน
- ช่วยปรับปรุงดินและผลผลิตทางการเกษตร เนื่องจากเมื่อนำไบโอชาร์ลงดิน ลักษณะความเป็นรูพรุนของ ไบโอชาร์จะช่วยกักเก็บน้ำและอาหารในดิน และเป็นที่อยู่ให้กับจุลินทรีย์สำหรับทำกิจกรรมเพื่อสร้างอาหารให้ดิน เมื่อดินอุดมสมบูรณ์จะส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
- ช่วยผลิตพลังงานทดแทน เนื่องจากกระบวนการผลิตไบโอชาร์จากมวลชีวภาพด้วยการแยกสลายด้วยความร้อนจะให้พลังงานชีวภาพที่สามารถใช้เป็นพลังงานทดแทนเพื่อการขนส่งและในระบบอุตสาหกรรมได้
- ช่วยในกระบวนการจัดการของเสียประเภทอินทรีย์วัตถุได้ เนื่องจากเทคโนโลยีไบโอชาร์มีศักยภาพในการกำจัดของเสียที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นมิตรได้
ยุทธศาสตร์ทำหนึ่งได้สาม ไบโอชาร์เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ของดิน ลดภาวะโลกร้อน และลดความยากจน
ยุทธศาสตร์หมายถึงแผนพัฒนาที่แสดงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของแผนและกลไกในการขับเคลื่อนให้การปฏิบัติตามแผนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ การวิจัยนี้ได้พัฒนายุทธศาสตร์ทำหนึ่งได้สามฯในรูปของวงจรย้อนกลับระหว่างองค์ประกอบของระบบจัดการทรัพยากรแบบยั่งยืนหรือเรียกอีกอย่างว่าสมมติฐานพลวัตระบบจัดการทรัพยากรแบบยั่งยืน ดังต่อไปนี้
สมมติฐานพลวัตระบบจัดการทรัพยากรแบบยั่งยืน
ไบโอชาร์ การปรับปรุงดิน ภาวะโลกร้อน และความยากจน
จากการตรวจเอกสารด้านเทคโนโลยีไบโอชาร์และที่เกี่ยวข้อง สามารถสังเคราะห์และสรุปในรูปของสมมติฐานพลวัตของระบบการจัดการทรัพยากรแบบยั่งยืน ดังรูปที่ 1 ซึ่งเป็นระบบที่ประกอบด้วยทั้งวงจรย้อนกลับเชิงลบซึ่งต่อไปขอเรียกสั้นๆว่าวงจรลบ และวงจรย้อนกลับเชิงบวกซึ่งต่อไปขอเรียกว่าวงจรบวก วงจรลบมี 2 วงจรคือวงจร 1 และ วงจร 2 ส่วนวงจรที่เหลือเป็นวงจรบวก วงจร 1 เป็นวงจรสมดุลระหว่างพืชกับ CO2 ระบบนี้เป็นระบบที่พยายามรักษาความสมดุลโดยธรรมชาติ (อรสา, 2549) คือเมื่อมี CO2 เพิ่มขึ้น จะทำให้พืชเติบโตและมีปริมาณเพิ่มขึ้นเพราะพืชใช้ CO2 ในการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร และเมื่อพืชมีปริมาณเพิ่มขึ้นก็จะช่วยดูดซับ CO2 เพิ่มขึ้น ทำให้ CO2 ในชั้นบรรยากาศมีปริมาณลดลง อย่างไรก็ดี วงจร 3 (CO2-พืช-เศษวัสดุจากพืช-การย่อยสลายโดยธรรมชาติ) และวงจร 4 (CO2-พืช-เศษวัสดุจากพืช-เผา) เป็นวงจรบวกซึ่งมีการทำงานแล้วส่งผลให้ CO2 เพิ่มขึ้น ทำให้วงจร 1 ไม่สามารถรักษาระดับความสมดุลได้ กล่าวคือเมื่อปริมาณพืชเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณเศษวัสดุจากพืชเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เกิดการย่อยสลายโดยธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้เกิด CO2 มากขึ้น (วงจร 3) ในระบบการเกษตรจะมีการเผาเศษวัสดุเหล่านี้ก่อนทำการเกษตรแต่ละครั้ง ส่งผลให้ปริมาณ CO2 เพิ่มขึ้น (วงจร 4) วงจร 2 (CO2-พืช-เศษวัสดุจากพืช-การแยกสลายด้วยความร้อน-ไบโอชาร์-carbon sink) เป็นวงจรลบที่ช่วยให้ CO2 ลดลงด้วยการตัดวงจรการเผาเศษวัสดุจากพืชและการย่อยสลายโดยธรรมชาติ มาสู่การนำเศษวัสดุดังกล่าวมาแยกสลายด้วยความร้อน (pyrolysis) จะได้ไบโอชาร์ ซึ่งไบโอชาร์จะดึงคาร์บอนจากเศษวัสดุพืชมาเก็บไว้ เมื่อนำไบโอชาร์ไปใส่ในดิน จะเป็นการกักเก็บคาร์บอนในดิน (carbon sink) ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าคาร์บอนนี้มีคุณสมบัติเสถียร ไม่ทำปฏิกิริยากับสารใดๆ และสามารถอยู่ในสภาพเดิมได้เป็นเวลายาวนานนับ 1000 ปี (IBI,2008) ส่งผลให้ CO2 ในชั้นบรรยากาศลดลง เทคโนโลยีไบโอชาร์จึงได้ชื่อว่าเป็น Carbon negative technology ฉะนั้นถ้าต้องการแก้ปัญหาด้วยการลด CO2 จะต้องทำให้วงจรลบ 1 และวงจรลบ 2 ทำงานเด่นกว่าวงจรบวก 3 และวงจรบวก 4 ไบโอชาร์ช่วยเพิ่มสารอาหารในดินและช่วยลดกรดในดิน เนื่องจากคุณสมบัติทางกายภาพของไบโอชาร์มีลักษณะเป็นโพรง เมื่อใส่ไบโอชาร์ลงดิน จึงสามารถกักเก็บน้ำทำให้ดินมีความชุ่มชื้น และเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนจุลินทรีย์ซึ่งช่วยสร้างอาหารในดิน ทำให้ผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น (Sohi et al.,2009;Biocharinfo,2009a;Wikipedia,2009) วงจร 5 (พืช-เศษวัสดุจากพืช-การแยกสลายด้วยความร้อน-ไบโอชาร์-pHในดิน) และวงจร 6 (พืช-เศษวัสดุจากพืช-การแยก สลายด้วยความร้อน-ไบโอชาร์-สารอาหารในดิน) จึงเป็นวงจรบวกที่ทำหน้าที่ส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น การแยก สลายเศษวัสดุจากพืชด้วยความร้อน ไม่เพียงแต่จะได้ไบโอชาร์ ยังได้พลังงานชีวภาพซึ่งสามารถนำบางส่วนกลับไปเป็นเชื้อเพลิงในการแยกสลายเศษวัสดุจากพืชในครั้งต่อไป (วงจร 7: การแยกสลายด้วยความร้อนโดยไม่ใช้ออกซิเจน-พลังงานชีวภาพ) พลังงานชีวภาพที่ได้จากการผลิตไบโอชาร์นี้สามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นพลังงานความร้อน และเป็นเชื้อเพลิงในการขนส่งได้ (CSIRO,2008) ผลการวิจัยยังพบว่าไบโอชาร์ช่วยลดการแพร่กระจาย N2O และ CH4 (Zafar,2009; Wikipedia,2009) ซึ่งทั้ง CO2, N2O และ CH4 ต่างเป็นก๊าซเรือนกระจกหลักที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
จากรูปที่ 1 วงจร 8 ถึงวงจร 21 พัฒนาจากแบบจำลองการประเมินศักยภาพชุมชนด้านความเข้มแข็งและความยากจน (อรสา,2548) ถ้าภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัยจากน้ำท่วม พายุ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้องมีรายจ่ายจากความเสียหายเพิ่มขึ้น ทำให้รายได้ลดลง และการจัดการทรัพยากร เช่น การใช้ที่ดิน มีปัญหามากขึ้น ส่งผลให้ก๊าซเรือนกระจกมีโอกาสเพิ่มขึ้น (วงจร 8 : ก๊าซเรือนกระจก-ภาวะโลกร้อน-ความเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติ-รายจ่าย-รายได้-การจัดการทรัพยากร) และทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นด้วย (วงจร 9 : รายจ่าย-รายได้-การจัดการทรัพยากร) ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การใช้ปุ๋ยเคมี การดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง และการจัดการทรัพยากร ล้วนมีผลกระทบต่อรายจ่าย หากรายจ่ายเพิ่มขึ้นจะทำให้รายได้ที่มีอยู่ลดลง ทำให้ความจนเพิ่มขึ้น การเข้าถึงบริการทางสังคมลดลง การทำงานแย่ลง และสุดท้ายทำให้รายได้ลดลง (วงจร 10: รายได้-ความจน-การเข้าถึงบริการทางสังคม-การทำงาน) ถ้ามีความจนมากโอกาสให้ทาน รักษาศีล และการทำภาวนา มีน้อยลง อาจส่งผลให้ความจนเพิ่มขึ้น (วงจร 12: ความจน-ทาน ศีล ภาวนา) และอาจทำให้การดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงเกิดได้ยาก ทำให้รายจ่ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ลดลง (วงจร 11 : รายจ่าย-รายได้-ความจน-ทาน ศีล ภาวนา-การดำเนินชีวิตแบบพอเพียง) วงจร 13 (การจัดการทรัพยากร-รายจ่าย-รายได้-ความจน-การเข้าถึงบริการทางสังคม-การทำงาน-เครือข่ายอาชีพ) วงจร14 (การจัดการทรัพยากร-การเรียนรู้-การมีส่วนร่วม-เครือข่ายคนดี-ทาน ศีล ภาวนา-ความจน-การเข้าถึงบริการทางสังคม-การทำงาน-เครือข่ายอาชีพ) วงจร 15 (การจัดการทรัพยากร-การเรียนรู้-การมีส่วนร่วม-เครือข่ายคนดี-การเข้าถึงบริการทางสังคม-การทำงาน-เครือข่ายอาชีพ)
วงจร 16 (การจัด การทรัพยากร-การเรียนรู้-การมีส่วนร่วม-เครือข่ายอาชีพ) และวงจร 17 (การจัดการทรัพยากร-การเรียนรู้-การวางแผน) เป็นวงจรบวกที่ช่วยเสริมให้การจัดการทรัพยากรดีขึ้น ถ้าองค์ประกอบในระบบทำงานเสริมกันในทางที่เติบโต แต่ถ้าองค์ประกอบในระบบเสริมกันในทางที่เสื่อมถอย จะส่งผลให้การจัดการทรัพยากรแย่ลง วงจร 18 ถึง วงจร 21 เป็นวงจรบวกเช่นกันต่างทำงานเสริมกัน ซึ่งถ้าเสริมกันในทางที่เติบโตจะส่งผลให้การวางแผนมีประสิทธิภาพทำให้การจัดการทรัพยากรดีขึ้น และส่งผลให้การมีส่วนร่วมมีมากขึ้น โอกาสทำโครง การ CDM มีความเป็นไปได้สูง และมีโอกาสเพิ่มรายได้ให้กับผู้ทำ การจัดการทรัพยากรในที่นี้ครอบคลุมการจัดการเรื่องการใช้ที่ดิน น้ำ และระบบเกษตรกรรม การจัดการทรัพยากรมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาขึ้นอยู่กับระบบการวางแผน เครือข่ายอาชีพ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรเพื่อการหารายได้ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน การผลิตไบโอชาร์ และการเรียนรู้ของชุมชน รายได้ซึ่งได้รับอิทธิพลจากรายจ่าย จะส่งผลย้อนกลับไปที่การจัดการทรัพยากรและส่งผลกระทบถึงความยากจน การเข้าถึงบริการทางสังคม การทำงาน ซึ่งจะส่งผลย้อนกลับไปที่รายได้อีก จากสมมติฐานนี้ถ้าจะทำให้ระบบการจัดจัดการทรัพยากรมีการทำงานแบบยั่งยืน ต้องมียุทธศาสตร์ที่ทำให้วงจรลบซึ่งประกอบด้วยวงจร 1 และวงจร 2 ทำงานเด่นกว่าวงจร 3 และวงจร 4 เพราะจะทำให้ภาวะโลกร้อนลดลง ส่งผลให้วงจร 9 และวงจร 13 ทำงานเสริมกันในทิศทางที่เติบโต การทำให้รายได้เพิ่มขึ้นมี 4 ทาง คือ การลดรายจ่าย การทำงานมากขึ้น การเพิ่มผลผลิตพืช และการเข้าร่วมโครงการ CDM (Kogachi,2009;UNDP,2007;Starke,2009;TGO,2009) โดยมีความเข้มแข็งของชุมชน เครือข่ายอาชีพ และเครือข่ายคนดี เป็นตัวขับเคลื่อนให้การจัดการทรัพยากรมีประสิทธิภาพ
สรุป
ภาวะโลกร้อนมีผลกระทบต่อระบบเกษตรกรรม ขณะเดียวกันระบบเกษตรกรรมก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนซึ่งมีสาเหตุมาจากการใช้ที่ดิน การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และพฤติกรรมในการทำการเกษตร แนวคิดในการแก้ปัญหาดังกล่าวจะต้องทำในลักษณะองค์รวม คือไม่ได้แก้ส่วนใดส่วนหนึ่งตามลำพัง เพราะแต่ละส่วนของปัญหามีผลกระทบซึ่งกันและกัน ปัญหาเรื่องภาวะโลกร้อน เรื่องความเสื่อมของดิน และความยากจน มีความสัมพันธ์กันในระบบย้อนกลับ การแก้ปัญหาส่วนหนึ่งจะต้องไม่ไปทำให้ส่วนอื่นมีปัญหา แนวคิดที่สำคัญในขณะนี้คือการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งสามารถทำได้ในสองทางคือ การกักเก็บคาร์บอนโดยธรรมชาติผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งทำได้โดยการรักษาป่าไม้ การปลูกผัก ทุ่งหญ้า ให้คงอยู่ และ ปลูกต้นไม้เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยการทำลายป่า อีกทางหนึ่งคือการใช้เทคโนโลยีไบโอชาร์กักเก็บคาร์บอนลงดิน เป็นการตัดวงจรการกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศของคาร์บอนไดออกไซด์ วิธีนี้กำลังได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติให้เป็นเครื่องมือลดภาวะโลกร้อนและเป็นกลไกทางเศรษฐกิจต่อจากพิธีสารเกียวโต สำหรับช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนามีแหล่งทุนในการทำโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด ด้วยการนำมวลชีวภาพซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรมาแยกสลายด้วยความร้อนแทนการเผาทิ้ง เพื่อแยกคาร์บอนจากมวลชีวภาพมาอยู่ในรูปของไบโอชาร์ เมื่อใส่ไบโอชาร์ลงในดิน จะสามารถกักเก็บคาร์บอนซึ่งมีสภาพเสถียรให้อยู่ในดินได้เป็นเวลายาวนาน นอกจากนั้นไบโอชาร์ยังช่วยปรับปรุงดินให้ดีขึ้น เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ทำให้รายได้มีโอกาสเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมและมีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรต่อปีมาก สามารถทำยุทธศาสตร์ด้านพลังงานทดแทนและการลดภาวะโลกร้อน ด้วยการใช้เทคโนโลยีไบโอชาร์และพลังงานชีวภาพไปพร้อมกัน เช่น การใช้มันสำปะหลังเพื่อการผลิตเอทานอล และใช้เหง้ามันสำปะหลังซึ่งเป็นของเหลือทิ้งผลิตไบโอชาร์ เป็นต้น
|