ประเทศไทยยังไม่มีพันธุ์มะขามป้อมที่ชัดเจนเป็นของตัวเองและยังไม่มีการคัดเลือกและการปรับปรุงพันธุ์เพื่อสร้างพันธุ์ที่ดีตามหลักวิชาการเพื่อเป็นพันธุ์มาตรฐานสำหรับส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นการค้า จะมีบ้างที่เกษตรกรและผู้สนใจจริงได้คัดเลือกพันธุ์จากธรรมชาติด้วยตัวเองโดยคัดเลือกผลมะขามป้อมที่มีขนาดใหญ่มาบริโภคแล้วนำเมล็ดไปเพาะและเมื่อปลูกได้ผลดีก็นำไปเผยแพร่ ปัจจุบันมีผู้นำพันธุ์จากประเทศอินเดียมาปลูกและขยายพันธุ์ขายแต่จะมีราคาสูงมากเนื่องจากพันธุ์จากอินเดียจะมีผลขนาดใหญ่มีวิตามินซีสูง
ในปัจจุบันก็เริ่มมีการปลูกมะขามป้อมเป็นการค้ากันบ้างแล้วในเขตท้องที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและประจวบคีรีขันธ์แต่ยังมีพื้นที่ไม่มากนัก ในการคัดเลือกพันธุ์โดยทั่วไปของเกษตรกรจะพิจารณาจากขนาดของผลเป็นประการสำคัญ โดยจะคัดเลือกเฉพาะต้นที่ให้ผลที่มีขนาดใหญ่ไว้ขยายพันธุ์ปลูกและจำหน่าย โดยยังไม่สามารถวิเคราะห์คุณภาพของผลหรือองค์ ประกอบทางเคมีที่สำคัญของผลได้ คุณค่าที่สำคัญของผลมะขามป้อมอยู่ที่ปริมาณสารสำคัญในผลไม่ว่าจะเป็นปริมาณวิตามินซี แทนนิน น้ำตาล กรดและอื่นๆ อย่างไรก็ตามนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เริ่มงานวิจัยในการค้นหาสายพันธุ์ที่ดี ทำการศึกษาการเขตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมะขามป้อม โดยได้สำรวจและเก็บตัวอย่างมะขามป้อมจากแหล่งธรรมชาติที่มีมะขามป้อมขึ้นกระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆทุกภาคของประทศไทย นำตัวอย่างผลไปวิเคราะห์คุณภาพพร้อมกับนำกิ่งไปขยายพันธุ์ปลูกรวมไว้ที่สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร(แปลงรวมพันธุ์ฯ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
การพัฒนาพันธุ์
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี พ.ศ.2553ได้
Diameter 2.80 cm. Weight 11.14 gm.
Vitamin C 245.55 * Phenolic 380.14 **
TSS 15.8 °B Acid 3.60 %
Fiber 2.65 % |
Diameter 2.93 cm. Weight 12.95 gm.
Vitamin C 373.94 * Phenolic 367.48 **
TSS 13.4 °B Acid 3.39 %
Fiber 1.57 % |
Diameter 2.96 cm. Weight 10.39 gm.
Vitamin C 26.20 * Phenolic 246.49 **
TSS 11.0 °B Acid 2.75 %
Fiber 2.13 % |
Diameter 3.51 cm. Weight 22.43 gm.
Vitamin C 37.34 * Phenolic 134.90 **
TSS 8.4 °B Acid 1.98 %
Fiber 1.77 % |
Diameter 2.06 cm. Weight 4.71 gm.
Vitamin C 9.88 * Phenolic 369.10
TSS 6.55 °B Acid 3.07 %
Fiber 1.96 % |
Diameter 2.36 cm. Weight 6.94 gm.
Vitamin C 341.44 * Phenolic 351.27 **
TSS 7.95 °B Acid 3.07 %
Fiber 2.73 %
|
ดำเนินการสำรวจและคัดเลือกสายพันธุ์มะขามป้อมจากธรรมชาติและแหล่งปลูกต่างๆที่มีลักษณะดีเด่นไว้จำนวน 10 สายพันธุ์คือ N-17, C-18, K-27, K-28, B-29, B-30, B-33, Lo-36, La-38 และ K-39
Diameter 2.70 cm. Weight 11.02 gm.
Vitamin C 76.03 * Phenolic 462.85
TSS 9.0 °B Acid 3.18 %
Fiber 2.50 % |
Diameter 3.20 cm. Weight 16.80 gm.
Vitamin C 263.50 * Phenolic 398.95 **
TSS 9.1 °B Acid 2.66 %
Fiber 1.56 %
|
Diameter 2.27 cm. Weight 5.63 gm.
Vitamin C 256.73 * Phenolic 457.66 **
TSS 13.0 °B Acid 3.30 %
Fiber 2.79 %
|
Diameter 2.62 cm. Weight 10.01 gm.
Vitamin C 64.34 * Phenolic 278.28 **
TSS 12.0 °B Acid 2.55 %
Fiber 2.34 %
|
* mg./100 pulp ** mg. GAE/100gm. extract
ประเทศอินเดียซึ่งมีการปลูกมะขามป้อมเป็นการค้าอย่างกว้างขวาง มีพันธุ์ปลูกที่สำคัญเป็นหลักอยู่ 3 พันธุ์คือ พานาราสี(Banarasi) ฟรานซิส(Francis) และชาไคยา(Chakaiya) ทั้ง 3 พันธุ์มีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกัน นอกจากพันธุ์ที่นิยมปลูกทั้ง 3 พันธุ์ดังกล่าวแล้วก็ยังมีพันธุ์อื่นๆอีกเช่น คานจัน(Kanchan) กฤษณา(Krishna) เดชิ(Deshi) อนันต์-1 อนันต์- 2 และ อนันต์- 3 เป็นต้น ภาพรวมของผลผลิตในอุตตรประเทศในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 10-15 ตันต่อเฮกตาร์ต่อปี(1.6-2.4 ตันต่อไร่ต่อปี) ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากที่สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากรที่ให้ผลผลิตได้เฉลี่ย 20 ถึง 50 กิโลกรัมต่อต้นต่อปีที่อายุต้น 10 ปีโดยปลูกไร่ละ 100 ต้น(ระยะปลูก 4x4 เมตร)
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้ทราบว่ามะขามป้อมในธรรมชาติแต่ละต้นจะมีคุณภาพที่แตกต่างกันมากมิใช่ขึ้นชื่อว่าเป็นมะขามป้อมแล้วจะต้องมีแทนนินสูงหรือวิตามินซีสูงเสมอไป จึงควรจะต้องทำการสำรวจเพื่อค้นหาสายพันธุ์ที่มีคุณภาพดีเหมาะสมกับการนำไปใช้ประโยชน์แต่ละด้าน เช่นถ้าเป็นต้นที่มีผลขนาดใหญ่ก็เน้นการทำขนมหรืออาหารที่คงสภาพขนาดผลใหญ่เพื่อให้ดูดึงดูดสายตา ถ้าเป็นต้นที่ผลมีแทนนินหรือวิตามินซีสูงก็เน้นการใช้ประโยชน์ด้านสกัดสารเป็นยาหรือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพเป็นต้น โดยในที่สุดก็คงจะต้องมีการผสมพันธุ์หรือปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้ต้นที่มีคุณภาพดีเด่นในด้านต่างๆรวมอยู่ในต้นเดี่ยวกัน
การขยายพันธุ์
ในอดีตการขยายพันธุ์มะขามป้อมใช้การเพาะเมล็ดโดยนำเมล็ดจากผลที่แก่เต็มที่มาแกะเนื้อผลออกแล้วตากแดดเพื่อให้เปลือกหุ้มเมล็ด(endocarp)แตก การตากแดดควรใส่ในถุงตาข่ายที่มีตาถี่เพื่อป้องกันเมล็ดกระเด็นหายเนื่องจากแรงดีดของเปลือกหุ้มเมล็ด ภายในเปลือกหุ้มเมล็ดของแต่ละผลจะมีเมล็ด 6 เมล็ดแต่อาจไม่สมบูรณ์ครบทั้ง 6 เมล็ด
ใการปลูกด้วยต้นเพาะเมล็ดจะทำให้ได้ผลผลิตช้าอาจใช้เวลานาน 5 ถึง 8 ปีขึ้นอยู่กับคุณภาพของต้นและสภาพแวดล้อมของการเจริญเติบโตและอาจได้ต้นที่คุณภาพต่างไปจากต้นเดิม สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทำการเพาะเมล็ดในตะกร้าแล้วย้ายลงปลูกในถุง ต้นกล้าจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโคนต้นประมาณ 0.5-0.8 เซนติเมตรเมื่ออายุ 1 ปี การปลูกมะขามป้อมจากต้นเพาะเมล็ดมีความเสี่ยงต่อความแปรปรวนทางพันธุกรรม อาจได้ต้นที่มีคุณภาพไม่เหมือนต้นเดิมจะทำให้มีปัญหาด้านคุณภาพของผลในกรณีปลูกเป็นการค้า ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องมีการขยายพันธุ์โดยใช้ส่วนลำต้นมากขึ้นเพราะจะทำให้ได้ต้นที่มีลักษณะดีเด่นเหมือนต้นเดิมทุกประการ วิธีการที่เหมาะสมในการติดตาและต่อกิ่งสำหรับต้นในถุงชำมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับขนาดและอายุของต้นตอและฤดูกาลที่ทำการเปลี่ยนยอดพันธุ์ วิธีการที่แนะนำเช่นการติดตาแบบ chip หรือการเสียบกิ่งแบบ cleft หรือ side grafting ก็ได้
|
|
|
Chip budding |
cleft grafting |
side grafting |
นอกจากนี้การเปลี่ยนยอดพันธุ์(top working)บนต้นตอที่มีกิ่งขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0 ถึง 2.5 นิ้วก็สามารถทำได้ โดยได้ทดลองติดตาและต่อกิ่งบนกิ่งขนาดดังกล่าวแล้ว พบว่าการเสียบกิ่งแบบเสียบเปลือก( bark grafting) ให้ผลการติด 90 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการติดตาแบบเพลท(budding)บนกิ่งขนาดใหญ่จะให้เปอร์เซ็นต์การติดประมาณ 60 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
|
|
การเสียบกิ่ง(side grafting)บนกิ่งขนาดใหญ่ |
ต้นตอขนาดใหญ่หลังเปลี่ยนยอด 5 เดือน |
เครื่องสำอางเพื่อผิวขาวผสมสารสกัดจากผลมะขามป้อม
ปัจจุบันคนไทยให้ความสำคัญกับเครื่องสำอางที่ส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะประเภทผลิตภัณฑ์เพื่อลดการเกิดฝ้า กระ หรือริ้วรอยหมองคล้ำ ส่งผลให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวจากสารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติได้รับความสนใจมากขึ้น สารทำให้ผิวขาวหลายชนิดมักมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) และ/หรือฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน จึงส่งผลให้การสร้างเมลานินในผิวหนังลดลงและผิวพรรณขาวสดใสขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะสารสกัดจากผลมะขามป้อม (Phyllanthus emblica Linn.) พบว่าสามารถออกฤทธิ์ต้านออกซิเดชัน และฤทธิ์ต้านเอนไซม์ tyrosinase ถึงแม้จะใช้ความร้อนและตัวทำละลายเอธิลอะซีเตดก็ยังออกฤทธิ์ต้านเอนไซม์ tyrosinase สูงกว่าตัวทำละลายประเภทอื่นๆและพบว่าสารสกัดมะขามป้อมมีความคงตัวดีในการต้านออกซิเดชัน ช่วยป้องกันผิวหนังจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระ และ tyrosinase ดังนั้นมะขามป้อมจึงมีประโยชน์ในเชิงนำมาพัฒนาในผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากอุดมด้วยวิตามินซี gallic acid และ emblicanin ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการถูกทำลายของผิวจากแสงแดดและอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ จึงนับได้ว่าเป็นสารต้านออกซิเดชันที่ดี ดังนั้นทีมคณะนักวิจัยจึงได้นำสารสกัดผลมะขามป้อมมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวในสูตรตำรับโลชันบำรุงผิว (แสดงดังภาพ) เรียกว่า Emblica KU ซึ่งสามารถต้านออกซิเดชั่นได้ดีขึ้นตามความเข้มข้นของสาร gallic acid และตรวจไม่พบอาการแพ้เมื่อทดสอบความระคายเคืองต่อผิว การทดสอบในอาสาสมัครพบว่าสารสกัดผลมะขามป้อมสารมารถเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวหนังและทำให้ผิวขาวขึ้นได้เมื่อใช้เป็นประจำและต่อเนื่อง เมื่อนำไปใส่ในอิมัลชันเบสพบว่าไม่พบการเปลี่ยนแปลงหลังผ่านการทดสอบความคงตัว สารสกัดผลมะขามป้อมจึงจัดได้ว่าเป็นพืชที่มีศักยภาพสูงในการนำไปใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ทำให้หน้าขาว การใช้สารสกัดที่ได้มาจากพืชพื้นเมืองของไทย จึงนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยกันพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ที่ทำให้หน้าขาวสำหรับคนไทย และเป็นสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อลดการขาดดุลทางการค้า และยังสามารถช่วยสนับสนุนผลิตผลทางการเกษตรของเกษตรกรไทยได้ทางหนึ่ง
โลชันปรับสภาพผิวขาวผสมสารสกัดหยาบจากผลมะขามป้อม
|