จากวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภคในประเทศไทยในขณะนี้ ( ม.ค.2554 ) จนกระทั่งรัฐบาลประกาศขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม ขวดละ 9 บาท เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของน้ำมันปาล์มที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนคนไทย วิกฤตครั้งนี้สาเหตุหลักเกิดจากสภาวะฝนแล้งทำให้เกิดภาวะ “ ปาล์มขาดคอ ” ตามภาษาชาวบ้าน คือปาล์มไม่ติดผล ทำให้วัตถุดิบป้อนโรงงานหีบน้ำมันมีไม่เพียงพอ ถึงแม้โรงงานจะประกาศรับซื้อในราคาแพง ถึงกิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศไทยก็ยังไม่มีปาล์มเข้าโรงงานหีบอย่างเพียงพอกับความต้องการ ดังนั้น วันนี้บทบาทของปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ ความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจที่จะเป็นพืชน้ำมันส่งออก เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และประเทศชาติ จะว่าไปแล้วปาล์มน้ำมันเป็นพืชน้ำมันอันดับ 1 ของโลก ในปริมาณการใช้และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างมากมาย ซึ่งน่าจะถึงเวลาแล้ว ( ยังไม่สายเกินไป ) ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ( โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย ) ควรหันมาให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยคือหัวใจที่จะช่วยเกษตรกรให้มีความรู้ในการปลูกปาล์มให้มีผลตอบแทนสูงสุดรวมทั้งการมีพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตสูงในสภาพแวดล้อมของไทยและลดการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศที่ราคาแพงกว่าแต่คุณภาพไม่แตกต่างหรือน่าจากดีกว่าด้วยซ้ำไป ดังนั้นคณะวิจัยจึงนำเสนอข้อมูล งานวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสม DxP ของสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในส่วนที่สามารถเผยแพร่ขั้นตอนงานวิจัยก่อนการประกาศพันธุ์เป็นทางการต่อไป
ปาล์มน้ำมัน (Elaeis guineensis Jacp.) เป็นพืชน้ำมันที่สำคัญของประเทศไทย การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรในภาคใต้ และเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค ผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ แนวโน้มในอนาคตปาล์มน้ำมันจะเข้ามามีบทบาทในการเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล เพื่อทดแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งแนวโน้มมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีศักยภาพในการผลิตน้ำมันต่อพื้นที่สูงสุด เมื่อเทียบกับพืชน้ำมันในกลุ่มพืชที่ให้น้ำมันที่สำคัญ 4 ชนิด คือ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง Rapeseed และทานตะวัน พบว่าน้ำมันปาล์ม (crude palm oil) มีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดคือ กิโลกรัมละ 10 - 11.50 บาท ในขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองมีต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 18 บาทซึ่งปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นที่ทนทานต่อผลกระทบจากภัยธรรมชาติมากกว่าพืชอายุสั้นอื่นๆ ลงทุนเพียงครั้งเดียวก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน 25-30 ปี
จากวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภคในประเทศไทยในขณะนี้ ( ม.ค.2554 ) จนกระทั่งรัฐบาลประกาศขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม ขวดละ 9 บาท เป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของน้ำมันปาล์มที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนคนไทย วิกฤตครั้งนี้สาเหตุหลักเกิดจากสภาวะฝนแล้งทำให้เกิดภาวะ “ ปาล์มขาดคอ ” ตามภาษาชาวบ้าน คือปาล์มไม่ติดผล ทำให้วัตถุดิบป้อนโรงงานหีบน้ำมันมีไม่เพียงพอ ถึงแม้โรงงานจะประกาศรับซื้อในราคาแพง ถึงกิโลกรัมละ 8 บาท ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่มีการปลูกปาล์มน้ำมันในประเทศไทยก็ยังไม่มีปาล์มเข้าโรงงานหีบอย่างเพียงพอกับความต้องการ ดังนั้น วันนี้บทบาทของปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นพืชที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ ความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจที่จะเป็นพืชน้ำมันส่งออก เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และประเทศชาติ จะว่าไปแล้วปาล์มน้ำมันเป็นพืชน้ำมันอันดับ 1 ของโลก ในปริมาณการใช้และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างมากมาย ซึ่งน่าจะถึงเวลาแล้ว ( ยังไม่สายเกินไป ) ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ( โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย ) ควรหันมาให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยคือหัวใจที่จะช่วยเกษตรกรให้มีความรู้ในการปลูกปาล์มให้มีผลตอบแทนสูงสุดรวมทั้งการมีพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตสูงในสภาพแวดล้อมของไทยและลดการนำเข้าเมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศที่ราคาแพงกว่าแต่คุณภาพไม่แตกต่างหรือน่าจากดีกว่าด้วยซ้ำไป ดังนั้นคณะวิจัยจึงนำเสนอข้อมูล งานวิจัยการปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสม DxP ของสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในส่วนที่สามารถเผยแพร่ขั้นตอนงานวิจัยก่อนการประกาศพันธุ์เป็นทางการต่อไป
ปาล์มน้ำมัน (Elaeis guineensis Jacp.) เป็นพืชน้ำมันที่สำคัญของประเทศไทย การทำสวนปาล์มน้ำมันเป็นอาชีพหลักของเกษตรกรในภาคใต้ และเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค ผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ แนวโน้มในอนาคตปาล์มน้ำมันจะเข้ามามีบทบาทในการเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล เพื่อทดแทนน้ำมันดีเซล ซึ่งแนวโน้มมีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีศักยภาพในการผลิตน้ำมันต่อพื้นที่สูงสุด เมื่อเทียบกับพืชน้ำมันในกลุ่มพืชที่ให้น้ำมันที่สำคัญ 4 ชนิด คือ ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง Rapeseed และทานตะวัน พบว่าน้ำมันปาล์ม (crude palm oil) มีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดคือ กิโลกรัมละ 10 - 11.50 บาท ในขณะที่น้ำมันถั่วเหลืองมีต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 18 บาทซึ่งปาล์มน้ำมันเป็นพืชยืนต้นที่ทนทานต่อผลกระทบจากภัยธรรมชาติมากกว่าพืชอายุสั้นอื่นๆ ลงทุนเพียงครั้งเดียวก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน 25-30 ปี
พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมในโลกจะอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 20 องศาเหนือ – ใต้ ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาค ที่ได้เปรียบและสามารถปลูกปาล์มน้ำมันได้ดี และยังมีโอกาสขยายพื้นที่ปลูกได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านไร่ เนื่องจากมีพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น พื้นที่นาร้าง และพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่อนุรักษ์สภาพแวดล้อม (eco-friendly crop) เมื่อปลูกปาล์มน้ำมันเป็นระยะเวลายาวนานจะทำให้สภาพนิเวศน์ที่เสียหายไปกลับคืนสู่สภาพธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังสามารถสกัดองค์ประกอบจากน้ำมันปาล์ม ได้แก่ กรดไขมันหลายชนิด วิตามินอี และวิตามินเอ นำมาใช้ประโยชน์และใช้เป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรม Oleochemical และพลังงานทดแทน รวมทั้งเป็นพืชที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคเพราะไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) สรุปได้ว่าปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่มีโอกาสและมีศักยภาพสูงมากสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยมีพื้นที่บางส่วนที่เหมาะสมที่จะปลูกปาล์มน้ำมันได้ดีให้ผลผลิตสูง แต่ยังปัญหาหลายอย่างโดยเฉพาะในเรื่องของพันธุ์ที่มีคุณภาพ การจัดการสวนปาล์มอย่างถูกต้องและข้อจำกัดของเกษตรกรเองในเรื่องความรู้เรื่องการปลูกปาล์มที่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวจึงมีความจำเป็นสำหรับพืชเศรษฐกิจอย่างปาล์มน้ำมัน ซึ่งนับว่ามีบทบาทและมีความสำคัญต่อประเทศไทยในแง่ของพืช ที่ให้น้ำมันที่มีศักยภาพสูงในการให้ผลผลิต และการขยายพื้นที่ปลูกตลอดจนการนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ดังนั้นในปี 2547 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมกับบริษัทเกษตร 23ร่วมกันจัดทำโครงการพัฒนาวิชาการ เพื่อวิจัยและผลิตพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสมเทเนอรา (D x P) ที่ให้ผลผลิตสูงในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย โดยใช้ต้นแม่พันธุ์ดูร่าที่ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์มาตรฐานลักษณะแม่พันธุ์ที่ดี โดยมีการคัดสายพันธุ์จากต้นดูร่าดั้งเดิม ที่หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรนำเข้ามาปลูกที่ฟาร์มบางเบิดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ซึ่งมีเกษตรกรบริเวณใกล้เคียงฟาร์มบางเบิดนำเมล็ดไปปลูกแพร่กระจายไม่ต่ำกว่า 20,000 ต้น โดยมีการปลูกจากเมล็ดต้นดูร่าไม่ต่ำกว่า 2 -3 รุ่น ทำให้มีการปรับตัวในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยกว่า 80 ปีทั้งนี้มีการตรวจสอบสายพันธุ์จากDNA เปรียบเทียบกับต้นดั้งเดิมที่เหลืออยู่ ในปัจจุบัน
วิธีวิจัยและผลการวิจัย
- การรวบรวมสายพันธุ์แม่ ดูร่า จากแหล่งพันธุ์ที่ทราบพันธุ์ประวัติชัดเจน เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์แม่ที่มีลักษณะตรงตามต้องการ โดยจัดทำแปลงรวบรวมสายพันธุ์ดูร่า ภายในพื้นที่ สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร ส่วนสายพันธุ์คัดเลือกสายพันธุ์พิซิเฟอร่า จากประชากรปาล์มน้ำมันที่มีการถ่ายทอดมาหลายชั่วรุ่น(จาก แหล่งคัดเลือกสายพันธุ์พิซิเฟอร่าของบริษัทเอกชน)จากนั้นนำมาทดสอบคู่ผสมและคัดเลือกพันธุ์ที่ดีเด่น ตามคุณสมบัติ ที่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานการคัดเลือกพันธุ์ลูกผสมเทเนอร่า ของกรมวิชาการเกษตร
- คัดเลือกต้นพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่(Individual Selection) ที่เป็นพ่อและแม่พันธุ์ของลูกผสมที่ดีเด่น จากประชากรสายพันธุ์พ่อและสายพันธุ์แม่ (Family Selection) ที่ผ่านการผสมตัวเองหรือผสมข้ามต้นในสายพันธุ์พ่อ และพันธุ์แม่ในแปลงพ่อและแม่พันธุ์ (seed garden) นำไปปลูกในแปลงผลิตพ่อแม่พันธุ์ และคิดค้นที่จะใช้เป็นพ่อ – แม่ พันธุ์ โดยพิจารณาต้นพันธุ์ที่ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน เป็นต้นที่ใช้สำหรับผลิตเมล็ดลูกผสม (D x P) ต่อไป
- นำเมล็ดพันธุ์ที่ได้จากการจับคู่ผสมแม่และพ่อพันธุ์ D x P มาผ่านขบวนการเพื่อให้เมล็ดงอกแล้วปลูกทดสอบในแปลงทดลองของสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากรเพื่อทดสอบผลผลิตแต่ละคู่ผสม เก็บข้อมูลการเจริญเติบโต ข้อมูลผลผลิต องค์ประกอบผลผลิต เพื่อใช้เปรียบเทียบหาคู่ผสมที่ต้องการ
สรุป
- จากขั้นตอนและขบวนการปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมันลูกผสม เทเนอร่า (DxP = T) ทำให้ได้คู่ผสม จำนวน 16 คู่ผสม
- ปลูกทดสอบคู่ผสม 16 คู่ผสม ภายในสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากรและพื้นที่อื่นๆของประเทศไทยโดยคัดเลือกคู่ผสมที่มีศักยภาพสูง 6 คู่ผสม
- จัดสร้างแปลงแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ที่ปลูกภายในพื้นที่สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร
รวม 25 ไร่
จากการปลูกทดสอบคู่ผสมในแปลงทดสอบที่มีการให้ระบบน้ำชลประทานพบว่าคู่ผสม number 17/2 เริ่มออกดอกช่อแรกเมื่อต้นปาล์มอายุ 12 เดือนหลังปลูก และทุกคู่ผสม(ที่มีการให้น้ำ)จะออกดอกเมื่อต้นปาล์มอายุ 18-20 เดือน ( นับจากเพาะเมล็ด ) สำหรับแปลงทดสอบคู่ผสมที่ไม่มีการให้น้ำยังไม่เริ่มออกดอกเมื่อต้นปาล์มอายุ 18 เดือน แต่จะเริ่มออกดอกเมื่อต้นปาล์มอายุ 24 เดือน ขณะนี้อยู่ในช่วงการเก็บข้อมูลผลผลิต องค์ประกอบผลผลิต ผลผลิตน้ำมันในทะลายต่อพื้นที่ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์คัดเลือกคู่ผสมดีเด่นต่อไปและคาดว่าจะสามารถเผยแพร่เมล็ดพันธุ์อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2554
แปลงเพาะกล้าน้ำมันต้องมีการคัดเลือกต้นที่มีลักษณะไม่ดีทิ้งไป ประมาณ 15 -20 % ในช่วงอายุ
3 - 8 เดือน เช่น ต้นแคระแกรน ใบบิด ใบไม่คลี่เป็นขนรก เมื่อได้อายุ 8 เดือน ใบด่าง ต้นตัวผู้ เป็นต้น
เมื่อผ่านการคัดเลือกต้นกล้าปาล์มที่ปลูกต้องถูกต้องตามลักษณะจะเลี้ยงอยู่ในถุงดำ ขนาด
8 x 16 นิ้ว จนเมื่ออายุได้ 10-14 เดือน ก็พร้อมลงปลูกในแปลงได้
ต้น No. B 17 และ C 13 ที่ผ่านการคัดเลือกมีลักษณะเด่นคือ มีปริมาณน้ำมันในส่วนเนื้อใน
( KPO ) สูงเป็นพิเศษ ประมาณ 40 – 42 % ปริมาณน้ำมันในส่วนเปลือก ( CPO ) 35- 40 % ( วิเคราะห์ปริมาณน้ำมันโดยใช้ตัวทำละลาย ) โดยมีลักษณะทางพฤษศาสตร์ของลำต้น ทางใบ ใบย่อย ทรงพุ่ม ที่เหมาะสมผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและให้ผลผลิตปาล์มทะลายต่อต้นมากกว่า 200 กิโลกรัม / ต้น / ปี หรือ 4.4 ตัน / ไร่ / ปี
ต้น No.C16 ที่ผ่านการคัดเลือกมีลักษณะเด่นคือให้จำนวนทางใบ หรือทะลายต่อปีสูง ลักษณะทางพฤษศาสตร์เหมาะสม ผลผลิตปาล์มทะลายมากกว่า 200 กิโลกรัม / ต้น / ปี หรือ 4.4 ตัน / ไร่ / ปี การออกดอกชุดแรกเร็ว ( หลังปลูก 12 เดือน ) เปอร์เซ็นต์น้ำมัน ( CPO ) 50 – 54 % และ ( KPO )
40 – 44 % ( วิเคราะห์โดยใช้ตัวทำละลาย )
ต้น No. H10 ที่ผ่านการคัดเลือกมีลักษณะเด่นคือ มีปริมาณน้ำมันในส่วนเนื้อใน ( KPO ) สูงเป็นพิเศษ ประมาณ 44.70 % ปริมาณน้ำมันในส่วนเปลือก ( CPO ) 64.82 % ( วิเคราะห์ปริมาณน้ำมันโดยใช้ตัวทำละลาย ) โดยมีลักษณะทางพฤษศาสตร์ของลำต้น ทางใบ ใบย่อย ทรงพุ่ม ที่เหมาะสมผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและให้ผลผลิตปาล์มทะลายต่อต้นมากกว่า 210 กิโลกรัม / ต้น / ปี หรือ 4.6 ตัน / ไร่ / ปี
ต้น No. H10 ที่ผ่านการคัดเลือกมีลักษณะเด่นคือ มีปริมาณน้ำมันในส่วนเนื้อใน ( KPO ) สูงเป็นพิเศษ ประมาณ 44.70 % ปริมาณน้ำมันในส่วนเปลือก ( CPO ) 64.82 % ( วิเคราะห์ปริมาณน้ำมันโดยใช้ตัวทำละลาย ) โดยมีลักษณะทางพฤษศาสตร์ของลำต้น ทางใบ ใบย่อย ทรงพุ่ม ที่เหมาะสมผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและให้ผลผลิตปาล์มทะลายต่อต้นมากกว่า 210 กิโลกรัม / ต้น / ปี หรือ 4.6 ตัน / ไร่ / ปี |