ที่มาและประเด็นปัญหาของการวิจัย
เครื่องรัก เป็นชิ้นงานได้รับการประดิษฐ์ที่ใช้ยางรักเป็นวัตถุดิบเพื่อสร้างผลงานออกตามความรู้ท้องถิ่น (local knowledge) ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในเชิงวัฒนธรรมและนำใช้เป็นภาชนะใช้สอยในชีวิตประจำวันและพิธีกรรม ผลงานประเภทนี้นับว่าเป็นชิ้นงานที่ได้รับการสร้างสรรค์ออกมาตามภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถถ่ายทอดมาตั้งแต่ต้นน้ำอันเป็นการคัดเลือกวัตถุดิบเรื่อยมาตลอดจนได้ผลิตออกมาเป็นผลงานที่สามารถบ่งบอกเอกลักษณ์เชิงวัฒนธรรมตามชาติพันธุ์ของมนุษยชาติได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในทวีปเอเชีย อาทิเช่นกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญีปุ่น) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เมียนม่าร์ เวียดนาม กัมพูชา และไทย) ผลงานเครื่องรักที่ได้รับการประดิษฐ์จากวัตถุดิบยางรักนั้นมีหลายรูปแบบ หาแบ่งตามระบบงานของช่างสิบหมู่ของไทยมีดังนี้ งานเขียนสีกำมะลอ งานลงรักปิดทองคำเปลว งานลงรักปิดทองทึบ งานลงรักปิดทองร่องชาด งานลงรักปิดทองร่องกระจก งานลงรักปิดทองลายฉลุ งานประดับกระจก งานประดับมุก งานปั้นรักสมุก โดยเรียกผลรวมโดยรวมเหล่านี้ว่า งานช่างรัก ขณะเดียวกันยังงานประดิษฐ์เครื่องรักพื้นบ้านที่มีความเกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์ของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่แตกต่างกันตามสภาพภูมิศาสตร์ อย่างเช่น ชาวไทยเขิน ได้ผลิตงานเครื่องรักออกมาดังที่รู้กันในนามของ “เครื่องเขิน” ก็เป็นผลงานอีกรูปแบบหนึ่งที่พบอยู่ในภาคเหนือของไทย
ภาพที่1 ผลิตภัณฑ์เครื่องรักและเครื่องเขินที่ใช้ยางรักในการผลิต
ยางรัก หรือ รัก เป็นวัสดุธรรมชาติประเภทชัน (gum) ที่ได้มาจากไม้ต้นสกุลรักจีน(Rhus) และสกุลรักใหญ่(Gluta) ทั้งสองสกุลเป็นพรรณไม้สมาชิกวงศ์Anacardiaceae (วงศ์ มะม่วง และมะกอกป่า) ยางรักเป็นสารเหนียวที่มีความเหนียว หนืด ข้นและสีคล้ำ แข็งตัวเมื่อแห้ง ยางรักถูกเรียกว่า Lacquer gum จัดได้ว่าเป็นกลุ่มสารโพลีเมอร์ธรรมชาติที่แตกต่างจากน้ำยางธรรมชาติประเภทลาเทกซ์ (Latex) ที่ได้จากน้ำยางพารา หรือพรรณไม้ชนิดอื่นที่เป็นสมาชิกของวงศ์ Euphorbiaceae (วงศ์ยางพาราและสลัดได) , Apocynaceae (วงศ์สัตตบรรณและลั่นทม) ฯลฯ พรรณไม้ที่สำคัญที่นำยางรักไปใช้ในการผลิตเครื่องรักและ หัตถกรรมเกี่ยวกับยางรักในทวีปเอเชียพบว่ามีอยู่ 4 ชนิดด้วยกันคือ
- รักใหญ่ หรือ รักหลวง (Gluta usitata (Wall.) Ding Hou) ชื่อสามัญคือ Burmese lacquer tree, Burmese vanish wood, Black lacquer tree, Thai vanish wood, Red zebra wood เขตกระจายพันธุ์ของรักใหญ่ พบในประเทศอินเดีย พม่า ไทยและลาวรักใหญ่เป็นชนิดที่คนเมือง (ไทยภาคเหนือ)รู้กันดีและนำยางมาใช้เป็นวัตถุดิบในทำเครื่องเขิน แหล่งเก็บน้ำยางในอดีตพบว่าอยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปางและเชียงราย แต่ปัจจุบันกลับหาดูได้ยากมากขึ้นทั้งนี้เนื่องจากเขตกระจายพันธุ์ที่อยู่ในป่าธรรมชาติของรักใหญ่ถูกทำลายไม่ว่า การตัดฟันไม้ไปใช้ประโยชน์ หรือ การบุกรุกป่าแล้วแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม และอื่นๆ จนทำให้ปริมาณต้นยางรักเป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบน้อยลง และทำให้การขาดแคลนส่งให้ตลาดที่ซื้อขายยางรักก่อเกิดภาวะน้ำยางรักดิบขาดตลาดส่งผลต่อการผลิตเครื่องเขินในประเทศ จำเป็นต้องนำยางรักเข้ามาจากประเทศพื่อนบ้านแหล่งนำเข้าหลักคือประเทศเมียนม่าร์และมียางรักโดยส่วนใหญ่ด้อยคุณภาพลงจากการเจือปนหรือ ปลอมปนน้ำมันจากไม้ชนิดอื่น
- รักจีน หรือ รักญี่ปุ่น ( Rhus verniciflua Stokes.) ชื่อสามัญคือ Japanese lacquer tree, Chinese lacquer tree, Japanese vanish tree, Chinese vanish wood, Oriental lacquer tree เขตกระจายพันธุ์ของรักจีน พบในประเทศ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และรัสเซีย รักจีนเป็นไม้ต้นผลัดใบที่ขึ้นได้เฉพาะเขตอบอุ่น ดังนั้นไม่พบในประเทศไทย แต่มีการนำยางรักชนิดนี้เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมประดิษฐ์เครื่องเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทย
- รักเวียดนาม มีชื่อท้องถิ่นของไทยว่า แกนมอ ( Rhus succedanea L.) ชื่อสามัญคือ Vietnamese lacquer tree เขตกระจายพันธุ์รักเวียดนาม พบในประเทศ ลาว ไทย เวียดนาม ไต้หวัน และจีนตอนใต้ (ไหหนาน, กวางตุ้ง, ฮ่องกง) เป็นชนิดเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมเครื่องรักของเวียดนาม
- น้ำเกลี้ยง (Gluta laccifera (Pierre) Ding Hou) ชื่อสามัญคือ Khmer lacquer tree, Chaiya lacquer tree เขตกระจายพันธุ์ของรักชนิดนี้พบอยู่ ไทย ลาวและกัมพูชา ชนิดเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมเครื่องรักของกัมพูชา และไทยในภาคอีสาน
ภาพที่ 2 ลักษณะลำต้น ช่อดอกและผลของต้นน้ำเกลี้ยง
สารเคมีในยางรักพบว่ารักจีน และรักเวียดนามประกอบไปด้วย อุรุชิออล (urushiol )(60-70% ) ลัคคอล (laccol ) (42-44%) น้ำในรักจีน (20-25%) น้ำในรักเวียดนาม (32-39%) เจลาตินในยางรักจีน (5-7%) เจลาตินในยางรักเวียดนาม (16-17%) โพลีแซคคาไรด์ (2-5%) และไกลโคโปรตีน (3-7%) เอนไซม์เลคเคส(laccase) ( 1% ) ส่วนที่เหลือรวมเป็นส่วนอื่นๆ จึงเห็นได้ว่ามีสารเคมีหลักคือ อุรุชิออล และ ลัคคอล สารทั้งสารชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสารเคลือบที่สำคัญในการทำผลิตภัณฑ์เครื่องรัก และที่สารเร่งให้ยางรักแห้งคือ เอนไซม์เลคเคส (Wan et al., 2007) ดังนั้นที่ทำให้กรรมวิธีในการทายางรักบนชิ้นงานของรักจีนแห้งเร็วกว่ารักเวียดนามและรักใหญ่ตามลำดับ พรรณไม้ให้ยางรักในสกุล Gluta ชนิดที่รู้จักกันที่สุดคือ รักใหญ่ เป็นชนิดที่มีสารเคมีหลายชนิดไม่ว่า กลุ่มฟีนอล (phenol derivatives) และ 3- or 4- substituted catechol ( Lu et al., 2007) แต่สารที่สำคัญคือ สารทิตชิออล (Thitsiol ) (Wan et al., 2007) ซึ่งสารนี้หากผ่านขบวนการ pyrolysis สามารถแตกตัวให้สารได้หลายชนิดไม่ว่า กลุ่มสารalkenes, alkanes, alkenylbenzenes, alkylbenzenes, alkenylphenols ,alkylphenols และกลุ่มสาร phenylalkylphenols (Niimura et al., 1998) ด้วยยางรักมีกลุ่มสารกลุ่มฟีนอลทำให้มีสมบัติเป็นยางพิษที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้บวม หรือ หากสัมผัสโดยตรงทำให้แผลพุพอง เช่นเดียวกับมะม่วง แต่อาการอาจจะรุนแรงกว่าทั้งขึ้นอยู่สภาพของผู้ป่วย
ในประเทศไทยรู้จักกรรมวิธีนำยางรักมาใช้ประโยชน์มานานกว่า 4,000 ปีแล้ว เพื่อใช้เป็นวัตถุในการทำเครื่องเขินและลงรักปิดทอง (กรมศิลปกร, 2550) ประเทศจีนได้พบหลักฐานทางโบราณคดีของยุคหินใหม่ที่มณฑลซิเจียง (Zhejiang)มีมาไม่น้อยกว่า 7,000 ปี (Wan et al., 2007) ประเทศญี่ปุ่นมีหลักฐานตั้งแต่ 5,300 ปีก่อนคริสตกาลในช่วงยุคโจมอน (Jomon period) (Noshiro et al., 2007) โดยนำยางรักการนำมาเคลือบภาชนะเพื่อให้มีคงทนและมีความสวยงาม เทคนิคการประดิษฐ์ใช้ยางเคลือบภาชนะ เครื่องรักที่สร้างสรรค์ขึ้นในแต่ละชุมชนมีกรรมวิธีผลิตและรายละเอียดที่แตกต่างกันอันที่จะส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการผลิตและการใช้เครื่องรักเกิดขึ้นต่างกันตามกลุ่มชาติพันธุ์
ประเด็นปัญหาต่อการจัดทำ “โครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาแหล่งยางรักดิบเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” เพื่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาในเชิงวัฒนธรรมของการผลิตและการใช้เครื่องรัก เครื่องเขินตลอดจนเป็นสืบสาน สืบทอดและสร้างเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมคนไทย อันเป็นชนชาติที่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับของการผลิตและการใช้เครื่องรัก เครื่องเขินมาอย่างช้านาน แต่หากคนไทยขาดการตระหนักและให้ความสำคัญต่ออนุรักษ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมเครื่องรักก็คงสูญหายไปในเวลาอันใกล้นี้ การอนุรักษ์เกี่ยวกับวัฒนธรรมเครื่องรักเพื่อ ธำรงไว้ ซึ่งอัตลักษณ์ของคนไทย จึงเป็นการปลูกฝังค่านิยมเอกลักษณ์ชาติและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของชาติตามไปด้วย หากนิ่งเฉยต่อสถานการณ์นี้ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อการสูญหายไปของภูมิปัญญาต่อผลิตเครื่องรักที่มีคุณภาพไม่ว่าขาดช่างรักที่มีฝีมือ ขาดการสร้างงานต่อยอดในนำยางรักไปใช้ในงานประเภทอื่น มรดกทางวัฒนธรรมในส่วนสร้างลวดลายโบราณบนผลิตภัณฑ์เครื่องรักสูญหาย ซึ่งนั้นหมายความว่าเราต้องสูญสิ้นของความเป็นเอกลักษณ์ไทยในช่างรักตลอดไป ประจวบกับปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ต่างๆ มีการเลียนแบบเครื่องรักที่ทำด้วยวัสดุพลาสติกเข้ามาแทนที่ต่อการใช้เครื่องรักในสมัยก่อน ยิ่งเป็นตัวเร่งที่สำคัญต่อการจากไปของมรดกทางวัฒนธรรมในด้านนี้
ภาพที่ 3 การนำยางรักดิบมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องเขินในภาคเหนือของไทย
การดำเนินงานโครงการ
โครงการวิจัยเรื่องการพัฒนาแหล่งยางรักดิบเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เป็นโครงการชุดที่มีโครงการย่อยประกอบด้วย 3 โครงการย่อยคือ โครงการย่อยที่1ชื่อ ศักยภาพของพรรณไม้ให้ยางรักเพื่อการพัฒนาแหล่งยางรักดิบ หัวหน้าโครงการคือ นาย วิชาญ เอียดทอง โครงการย่อยที่2ชื่อ นิเวศกายวิภาคของเนื้อเยื่อผลิตยางรักในพรรณไม้ให้ยางรัก หัวหน้าโครงการคือ นาย สมคิดสิริพัฒนดิลก โครงการย่อยที่3ชื่อ การขยายพันธุ์และการเติบโตของพรรณไม้ให้ยางรัก หัวหน้าโครงการคือ นาย พฤทธิ์ ราชรักษ์
วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัย
-
เพื่อศึกษาความหลากชนิดและศักยภาพต่อการพัฒนาเป็นผลิตยางรักดิบของพรรณไม้ให้ยางรักในประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนยางรักในประเทศ
-
พัฒนาเทคนิคในการกรีดยางรักอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการอนุรักษ์พรรณไม้ให้ยางรักเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและให้ปริมาณเพียงพอความต้องการภายในประเทศไทย ตลอดจนสร้างความเข้าใจต่อการไหลและให้ยางรักดิบของพรรณไม้ให้ยางรัก
-
เพื่อทำการขยายพันธุ์และปลูกสร้างสวนไม้รักเพื่อการผลิตยางในอนาคต
ภาพที่ 4 การกรีดยางรักและอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้; A, B, C ) แบบภาคเหนือ และ D,E,F) แบบภาคอีสาน
ผลการศึกษาอย่างย่อ
ความหลากชนิดของพรรณไม้ให้ยางรักในประเทศไทยพบว่า มีอยู่ 2 สกุลคือ สกุล Gluta จำนวน 10ชนิด สกุลRhus 5 ชนิด แต่ชนิดที่มีศักยภาพที่พัฒนาเป็นแหล่งผลิตยางรักดิบมี 3 ชนิดคือ ต้นรักใหญ่ (Gluta usitata (Wall.) Ding Hou) น้ำเกลี้ยง (Gluta laccifera (Pierre) Ding Hou) และ แกนมอ (Rhus succedanea L.) จากการศึกษากายวิภาคในต้นน้ำเกลี้ยงพบว่า น้ำยางรักจากไหลออกมาจากเปลือกชั้นในสุด ซึ่งการไหลมีความสัมพันธ์กับฤดูกาล ฤดูกาลที่กรีดยางแล้วน้ำยางไหลมากที่สุดคือฤดูฝนทั้งนี้การไหลของยางรักมีความเกี่ยวข้องชัดเจนกับฤดูกาล พันธุกรรมในแต่ละต้น สุขภาพต้นไม้ และเทคนิคในการสร้างบาดแผล ในส่วนของการสร้างรูปแบบรอยบาดแผลกรีดบนต้นน้ำเกลี้ยงที่ดีที่สุดจาก 16 รูปแบบพบว่ารูปแบบแนวดิ่งบนลำต้นเมื่อพิจารณาภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ไม่ทำลายลำต้นไม้มากจนเกินไป การใช้อุปกรณ์ไม่ซับซ้อน ใช้เวลาและแรงงานน้อย นอกจากนี้มีการใช้สารเคมีกระตุ้นเพื่อเพิ่มปริมาณยางไหลของต้นรักพบว่า10% เอตทีฟอน (Ethephon)ให้ผลดีทั้งในแง่ของการกระตุ้นการไหลของน้ำยางมากและการสมานรอยแผลได้ดี ขณะที่ 10 %พาราคอตกระตุ้นการไหลน้ำยางได้ดีกว่าเอตทีฟอนแต่จะทำลายเปลือกลำต้นของต้นรักอย่างรุนแรงจึงไม่นำมาใช้ในการกระตุ้นน้ำยาง ในส่วนการขยายพันธุ์ของต้นรักพบว่าใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์ ด้วยมีแม่ไม้น้อยและมีปัญหาการติดเมล็ดของพรรณไม้ให้ยางรักทำให้เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการเตรียมกล้าไม้ในการปลูกสร้างสวนป่าไม้รัก ในกรอบของการวิจัยจึงได้ขยายการวิจัยต่อนำเทคนิคเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างของการดำเนินงาน และประเด็นสุดท้ายการคัดเลือกชนิดไม้รักพบว่าพรรณไม้ในสกุลGluta เป็นไม้ต้นที่ช้ามีขนาดความโตถึงขนาดถึงกรีดได้นั้นต้องใช้ระยะนานไม่น้อยกว่า 12 ปี การคัดเลือกชนิดที่โตเร็วและให้น้ำยางได้เร็วพบว่าต้นแกนมอ ( Rhus succedanea L.)เป็นชนิดที่โตเร็วและมีระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจึงกรีดยางได้สั้นในระยะเวลาตั้งแต่ 5 ขึ้นไป คณะทีมวิจัยจึงกำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการปลูกในเชิงของสวนป่าเศรษฐกิจเพื่อการผลิตยางรักดิบต่อไป
|