การคัดเลือกสายพันธุ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์มะขามป้อม

Clone selection and product development of emblic

การสำรวจ  คัดเลือกและศึกษาลักษณะประจำพันธุ์ของมะขามป้อม

          ในระหว่างเดือนธันวาคม 2541ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2542ได้สำรวจและรวบรวมมะขามป้อมจาก 3  แหล่งจำนวน 12  สายพันธุ์คือ K - 1,  K – 3, K - 5,  P - 6,   P - 7,   P – 8,  B - 11, B - 12 ,    B - 13,  B - 14,  B - 15และ B - 16  (K=กาญจนบุรี P=ประจวบคีรีขันธ์ B=บุรีรัมย์)ได้เปลี่ยนยอดพันธุ์ไว้บนต้นตออายุ 1 ปีในแปลงทดลอง  ณ สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร  ต.ทรายทอง  อ.บางสะพานน้อย  จ.ประจวบคีรีขันธ์   พบว่าสายพันธุ์ P – 7 เริ่มออกดอกครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2543และติดผลเล็กน้อยในเดือนสิงหาคม 2544  ประมาณ  2 ปีครึ่งหลังการเปลี่ยนยอด จนถึงเดือนธันวาคม 2545 หลังเปลี่ยนยอด 4  ปีเต็ม พบว่ามีการออกดอกมากขึ้นในสายพันธุ์ K - 3,  K - 5,  P - 6,  P - 7,  P - 8,  B -12,  B -13,  B -15 และ B - 16    โดยมีการติดผลค่อนข้างมากในสายพันธุ์ K - 3, K - 5 และP - 6   จากการติดตามการให้ผลผลิตเป็นเวลา 6 ปีพบว่ามะขามป้อมที่รวมพันธุ์ไว้จะให้ผลผลิตในระหว่างเดือน กรกฎาคม- กันยายน

สำรวจและเก็บตัวอย่าง

แปลงรวมสายพันธุ์อายุ 4 ปี

        ในปีการผลิต 2552 ได้ทำการศึกษาลักษณะและคุณภาพของผลมะขามป้อมสายพันธุ์ต่างๆที่ได้รวบรวมไว้ได้ผลตามตารางที่ 1และ 2      P-8 และB-14 มีผลขนาดใหญ่และมีน้ำหนักสูงที่สุดจาก
           ตารางที่ 1  ลักษณะทางกายภาพของผลมะขามป้อม 12   สายพันธุ์

สายพันธุ์

น.น. ผล
(กรัม)

ศ.ก. ผล
(ซม.)

%เนื้อผล
(%)

เยื่อใย
(%)

ความหวาน
(% Brix)

K-1

8.20 fg*

2.51 bc

85.00 def

2.78

9.55 e

K-3

7.66 gh

2.35 e

85.65 cde

1.75

11.93 bc

K-5

9.58 cd

2.38 de

87.85 a-d

3.16

13.30 a

P-6

8.93 de

2.57 abc

91.45 a

1.90

11.70 c

P-7

9.77 c

2.50 bc

86.10 b-e

4.29

13.10 ab

P-8

10.62 b

2.65 a

90.10 ab

2.79

14.10 a

B-11

4.61 i

2.08 f

81.30 fg

3.16

7.75 f

B-12

9.31 cde

2.34 e

82.89 ef

2.46

10.95 cd

B-13

4.98 i

2.05 f

78.38 g

3.20

9.65 e

B-14

11.86 a

2.59 ab

89.56 abc

2.63

11.20 cd

B-15

8.77 ef

2.47 cd

81.36 fg

2.91

14.20 a

B-16

7.01 h

2.58 abc

88.07 a-d

2.91

10.00 de

         * ตัวอักษรที่เหมือนกันไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติจากการเปรียบเทียบด้วยวิธี  DMRT ที่ ความเชื่อมั่น   0.05

          สายพันธุ์ที่รวบรวมมา    แต่เมื่อพิจารณาปริมาณเนื้อผลจะพบว่าสายพันธุ์ P-6 มีเปอร์เซ็นต์เนื้อผลมากที่สุดแต่ก็ไม่แตกต่างกับสายพันธุ์ P-8 และ B-14  ซึ่งผลใหญ่มีแนวโน้มเปอร์เซ็นต์เนื้อสูง  ด้านความหวาน P-8 ก็มีความหวานสูงสุดเท่าๆกับB-15    การศึกษาคุณภาพของผลโดยการพิจารณาจากองค์ประกอบทางเคมี    วิเคราะห์หาปริมาณวิตามินซี(โดยวิธีทดสอบแบบ T-CM-012 Based on J. Agric. Food Chem.)และความเข้มข้นกรดโดยห้องปฎิบัติการสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ผลการวิเคราะห์วิตามินซีพบว่าสายพันธุ์ P-7 มีปริมาณวิตามินซีสูงถึง 430.96 มิลลิกรัมใน100 กรัมของเนื้อผล  ซึ่งใกล้เคียงกับมาตรฐานจากรายงานทั่วไปที่มีปริมาณอยู่ที่ประมาณ 600 ถึง 1,300 มิลลิกรัม

ตารางที่ 2   ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบที่สำคัญด้านคุณภาพของผลมะขามป้อม 12 สายพันธุ์

สายพันธุ์

วิตามินซี
(mg/100gm)

ความเป็นกรด  (%)

สารสกัด
%

Total phenolic

    flavonoids

K1

260.41

1.89

39.00ef*

1231.36h

405.48e

K3

395.40

2.05

48.50bc

2606.11bc

789.97b

K5

359.32

2.79

47.11c

2527.29bcd

911.63a

P6

265.43

2.45

52.29a

2702.30bc

808.04b

P7

430.96

2.30

42.29d

2120.61def

682.73c

P8

389.33

2.47

41.00de

2359.65cde

797.11b

B11

63.96

1.95

38.51f*

1576.82gh

490.87de

B12

211.44

2.72

36.32 g

2088.68ef

565.96d

B13

132.68

2.52

34.11g

1799.10fg

468.83e

B14

257.93

2.03

38.81ef

2483.61bcde

766.70bc

B15

292.79

2.83

50.25ab

2795.20b

770.09bc

B16

387.88

2.21

52.26a

4309.95a

928.44a

*   ค่าเฉลี่ยของข้อมูลในแนวตั้งเดียวกัน ที่มีตัวอักษรเหมือนกันไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติจากการเปรียบเทียบด้วยวิธี  DMRT   ที่ความเชื่อมั่น 0.05

              ด้านความเข้มข้นของกรดพบว่า B-15 , K-5 และ B-12 มีค่าความเข้มข้นของกรดสูงสุดใกล้เคียงกันที่ 2.72 ถึง 2.83 เปอร์เซ็นต์    การวิเคราะห์ปริมาณแทนนินทำโดยเตรียมตัวอย่างโดยแยกเนื้อนำเข้าตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 45  องศาเซลเซียสเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้วบดให้เป็นผง   สกัดสารตัวอย่างด้วยเมทานอลโดยวิธีสกัดเย็น ได้สารสกัดจากผงมะขามป้อมมีลักษณะเป็นสารเหนียวสีน้ำตาลเข้ม   เปอร์เซ็นต์ผลผลิตสารสกัดจาก 12  สายพันธุ์พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ    โดยสายพันธุ์ P-6 , B- 16 และ B- 15 มีเปอร์เซ็นต์ผลผลิตสารสกัดสูงที่สุดใกล้เคียงกัน   วิเคราะห์หาปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด(total  phenolic  content) โดยดัดแปลงวิธี Folin-Ciocalteu  colorimetric  method ตามวิธีของ Wolfe  et al. (2003)  นำค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐานของกรดแกลลิกคํานวณเป็นมิลลิกรัมกรดแกลลิกต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด    สำหรับการวิเคราะห์ปริมาณฟลาโวนอยด์(flavonoid  content) ก็ทำตามวิธีของ Wolfe  et al. (2003) นำค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐานของเคทเทคินคำนวณค่าเป็นมิลลิกรัมเคทเทคินต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด  พบว่ามะขามป้อมทั้ง 12 สายพันธุ์มีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดังแสดงในตารางที่ 2   โดยมะขามป้อม B- 16 มีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดสูงที่สุด 4309.95 มิลลิกรัมกรดแกลลิกต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด    ด้านปริมาณของฟลาโวนอยด์ก็เช่นเดียวกันปริมาณฟลาโวนอยด์ที่วัดได้จากมะขามป้อม 12 สายพันธุ์ก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ    โดยมะขามป้อมสายพันธุ์ B-16 และ K-5 มีค่าปริมาณฟลาโวนอยด์สูงที่สุด เท่ากับ 928.44 และ 911.63 มิลลิกรัมเคทเทคินต่อ 100 กรัมน้ำหนักสดตามลำดับ   

         การทดลองครั้งนี้ทำให้ทราบว่ามะขามป้อมที่เก็บรวบรวมจากแหล่งตามธรรมชาติแต่ละต้นหรือแต่ละสายพันธุ์มีคุณภาพและสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหรือมีคุณสมบัติในทางยาที่แตกต่างกัน    P-8 และB-14 มีขนาดผลใหญ่และมีความหวานสูงโดยเฉพาะP-8 มีวิตามินซีค่อนข้างสูงด้วย   แต่ถ้าพิจาณาเฉพาะด้านสารสำคัญพบว่า B-16 น่าสนใจที่สุดรองลงไปก็เป็นB-15และK-5      อย่างไรก็ตามในธรรมชาติยังมีมะขามป้อมขึ้นกระจัดกระจายอยู่อีกมากมายทั่วทุกภาค   จึงสมควรที่จะได้มีการสำรวจและคัดเลือกตลอดจนมีการวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์มะขามป้อมที่มีคุณสมบัติดีเด่น    เพื่อการนำไปใช้เป็นพันธุ์ปลูกและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมกับวัตถุ ประสงค์เฉพาะทางต่อไป

การพัฒนาสูตรเครื่องดื่มจากมะขามป้อม

       มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีเนื้อแข็ง การแยกเนื้อออกจากเม็ดทำได้ค่อนข้างยาก  การแยกเนื้อด้วยการหั่นหรือการเฉาะเกิดความล่าช้า ในระหว่างการรอเนื้อมะขามป้อมจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จากปฏิกิริยาออกซิเดชันระหว่างออกซิเจนกับสารประกอบฟีนอล(Phenolic compound)ที่มีเอนไซม์  เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จากการศึกษาพบว่าสามารถใช้เครื่องคั้นน้ำชนิดสกรู(screw press) ซึ่งเป็นเครื่องคั้นกะทิคั้นมะขามป้อมได้ แต่ต้องเปลี่ยนสกรูเป็นชนิดสแตนเลสเพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากมะขามป้อม 

       น้ำมะขามป้อมที่คั้นได้มีสีเขียวปนสีน้ำตาล เนื่องจากตะกอนของเนื้อมะขามป้อมที่ปนมากับน้ำเป็นตะกอนละเอียด    น้ำมะขามป้อมมีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 2.29-2.57   ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ 8.0-12.0 บริกซ์ และความเป็นกรดทั้งหมดคำนวณเป็นกรดซิตริก (%Total acidity as citric acid)  1.89-2.83 %    กรดในอาหาร เช่นกรดซิตริกมีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน ไม่แตกตัวให้สารละลายไฮโดรเจน อิออนทั้งหมดออกมาเป็นอิสระในสารละลายแต่จะแตกตัวให้ไฮโดรเจนออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นการเปรียบเทียบรสเปรี้ยวในมะขามป้อมการวัดค่าพีเอชอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอจำเป็นต้องวิเคราะห์ความเป็นกรดทั้งหมดในสารละลายด้วยการไตเตรต     จากค่าความเป็นกรดทั้งหมดของน้ำมะขามป้อมแสดงให้เห็นว่ามะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ไม่สามารถนำน้ำที่คั้นได้มาผลิตเป็นน้ำผลไม้ 100 % ได้    นอกจากนี้มะขามป้อมยังมีรสฝาดเนื่องจากมีปริมาณสารประกอบฟีนอลสูง   จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาสูตรการผลิตเครื่องดื่มน้ำมะขามป้อม เพื่อปรับปรุงรสชาติ ให้สามารถผลิตเป็นน้ำมะขามป้อมพร้อมดื่มได้

มะขามป้อมล้างน้ำสะอาด

เครื่องคั้นน้ำผลไม้

ตะแกรงละเอียดกรองน้ำ

กากมะขามป้อมผสมกับเม็ด

น้ำมะขามป้อม

น้ำมะขามป้อมเก็บแช่แข็ง

ภาพที่ 1 การเตรียมน้ำมะขามป้อมโดยใช้เครื่องคั้นน้ำชนิดสกรู (screw press)

                  พัฒนาสูตรการผลิตเครื่องดื่มน้ำมะขามป้อมผสมน้ำผลไม้ 4 ชนิดได้แก่ น้ำมะขามป้อม  น้ำมะขามป้อมผสมน้ำเสาวรส น้ำมะขามป้อมผสมน้ำองุ่นและน้ำมะขามป้อมผสมน้ำสับปะรดซึ่งเป็นสูตรน้ำมะขามป้อมที่รับประทานพร้อมน้ำแข็ง ปริมาณของแข็งที่ละลายได้จึงอยู่ที่ 20 บริกซ์ ปริมาณกรดทั้งหมด 0.9 %  เหตุผลที่เลือกผสมน้ำเสาวรส น้ำองุ่น และ น้ำสับปะรด เนื่องจากต้องการความแตกต่างทางด้านสีของน้ำผลไม้ที่ผสม   น้ำองุ่นมีรสฝาดเล็กน้อยซึ่งเป็นรสใกล้เคียงกับน้ำมะขามป้อม สัดส่วนของน้ำมะขามป้อมที่ใช้และเป็นที่ยอมรับจากการทดสอบชิมในเบื้องต้นโดยคณะผู้วิจัย พบว่าปริมาณน้ำมะขามป้อมใช้ได้ไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากถ้าเพิ่มอัตราส่วนน้ำมะขามป้อมจะทำให้มีรสฝาดมากดื่มยากและไม่เป็นที่ยอมรับ  สูตรการผลิตน้ำมะขามป้อมที่ไม่ผสมน้ำผลไม้จำเป็นต้องมีการเติมกรดซิตริกเพื่อปรับรสชาติ  เนื่องจากอัตราส่วนน้ำมะขามป้อม 20 เปอร์เซ็นต์ทำให้ความเป็นกรดในน้ำมะขามป้อมลดลง แต่น้ำมะขามป้อมผสมน้ำผลไม้มีความเปรี้ยว จากน้ำเสาวรส น้ำองุ่น และสับปะรดจึงไม่จำเป็นต้องเติมกรดซิตริก

ขวดพีพีล้างด้วยน้ำร้อน

ผสมส่วนประกอบต่างๆ

พาสเจอร์ไรส์ที่ 95 oC

บรรจุร้อน  > 70 oC

ปิดฝา

ลดอุณหภูมิ และเก็บแช่เย็น

ภาพที่ 2 การผลิตน้ำมะขามป้อมพาสเจอร์ไรส์

สูตรการผลิตน้ำมะขามป้อมผสมน้ำผลไม้


น้ำมะขามป้อม
                น้ำมะขามป้อม                                                     20    %
                น้ำตาลทราย                                                        17.7  %
                กรดซิตริก                                                            0.3   %
                น้ำ                                                                       62    %
น้ำมะขามป้อมผสมองุ่น
                น้ำมะขามป้อม                                                     20 %
                น้ำองุ่น                                                                 73 %
                น้ำตาลทรายขาว                                                    7  %
น้ำมะขามป้อมผสมเสาวรส
                น้ำมะขามป้อม                                                     20 %
                น้ำเสาวรส                                                            14 %
                น้ำตาลทรายขาว                                                   16 %
                น้ำ                                                                       50 %
น้ำมะขามป้อมผสมสับปะรด
                น้ำมะขามป้อม                                                     20 %
                น้ำสับปะรด                                                          70 %
                น้ำตาลทรายขาว                                                   10 %

การประเมินคุณภาพทางด้านประสาทสัมผัสเครื่องดื่มน้ำมะขามป้อม

               ในเบื้องต้นได้ทดสอบการยอมรับเครื่องดื่มน้ำมะขามป้อมผสมน้ำผลไม้ ในงานเกษตรแฟร์ ปี 2552 ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและทดสอบการยอมรับอีกครั้งที่สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร  พบว่าผู้บริโภคชอบน้ำมะขามป้อมที่ไม่ผสมน้ำผลไม้ชนิดอื่น เนื่องจากมีรสชาติที่ดี รสฝาดเล็กน้อยและมีกลิ่นรสของมะขามป้อม แต่น้ำมะขามป้อมผสมกับน้ำเสาวรส ผสมน้ำองุ่นและผสมสับปะรดซึ่งเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นมากกว่าทำให้ไม่สามารถรับกลิ่นรสของมะขามป้อมได้ ทำให้ขาดความเป็นเอกลักษณ์ของมะขามป้อม จึงได้พัฒนาสูตรเป็นน้ำมะขามป้อมพร้อมดื่มบรรจุในขวดพลาสติก โดยลดอัตราส่วนของมะขามป้อมและน้ำตาลทราย เนื่องจากเป็นสูตรไม่เติมน้ำแข็ง ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ที่ 14.0-15.0 บริกซ์  และความเป็นกรดทั้งหมดที่ 0.50-0.55 %

น้ำมะขามป้อมพร้อมดื่ม

               น้ำมะขามป้อม                                                      15.0   %
               น้ำตาลทราย                                                          14.7  %
               กรดซิตริก                                                               0.3   %
               น้ำ                                                                        70.0   %

 
คณะผู้วิจัย
นายนคร  เหลืองประเสริฐ  นางนวลปรางค์  ไชยตะขบ  พิสมัย  ศรีชาเยช และ น.ส.นิภา  เขื่อนควบ
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร และสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โทร. 08-1850-7706