กล้วยเบพ (Bep)
กล้วยเบพ (Musa acuminata ‘Bep’) คือ ต้นกล้วยไข่ที่ได้จากการทำให้เกิดการกลายพันธุ์โดยใช้สารเคมีในสภาพปลอดเชื้อเมื่อปี พ.ศ. 2538 และได้ทดลองปลูกเปรียบเทียบกับต้นกล้วยไข่ปกติเมื่อปี 2539 พบกว่าต้นกล้วยเบพมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านลักษณะต่างๆ ทั้งรูปร่างของใบ และลำต้น ซึ่งเหมาะสำหรับทำเป็นไม้ประดับกระถางมากกว่าจะนำมาปลูกเพื่อบริโภคผล ดังนั้นในปี พ.ศ. 2542 จึงได้นำมาทดสอบความพอใจของผู้เลี้ยงไม้ประดับ และผู้เลี้ยงต้นกล้วย ปรากฏว่าได้รับความสนใจพอควร จึงได้นำมาขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต่อไปอีก 4 – 5 ชั่ว ซึ่งไม่พบลักษณะที่ผิดปกติแต่อย่างใด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงได้ขึ้นทะเบียนรับรองตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544
กล้วยเบพ อยู่ในวงศ์ Musaceae ลำต้นแท้จริงอยู่ใต้ดินประเภท rhizome ที่ลำต้นมีตาเจริญอยู่ด้านข้าง และสามารถแตกเป็นหน่อแทงขึ้นสู่อากาศได้ ตาอยู่ระหว่างกาบใบ กาบใบมีการเจริญเติบโตอัดกันแน่นชูขึ้นเหนือลำต้นเรียกว่าลำต้นเทียม ลำต้นเทียมเมื่อต้นยังอ่อนอยู่มีสีขาว เมื่อโตเต็มวัยจะมีสีม่วงแดง และมีขนาดเตี้ยมาก ก้านใบค่อนข้างสั้นมากเสมือนไม่มีก้านใบ ลักษณะของก้านใบในช่วงที่ติดกับกาบใบจะแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ ใบมีรูปร่างค่อนข้างกลม เส้นกลางใบหนา และมีเส้นใบออกจากกลางใบแบบขนาน ปลายใบแบบ acuminate ฐานใบมีรูปร่างกลมมนแบบ obtuse ความหนาของใบเมื่อยังเป็นต้นอ่อนประมาณ 0.016 ซ.ม. ส่วนความหนาใบเมื่ออายุเต็มวัยประมาณ 0.032 ซ.ม. ใบจะหนา และแข็งแรงขึ้นเมื่อโตเต็มวัย เส้นใบเห็นชัด ใบมีสีเขียวเข้ม และเป็นมันเงา ใบอ่อนเกิดที่กลางลำต้น มีการจัดเรียงของใบเป็นแบบ spiral เรียงซ้อนๆ กันที่ส่วนโคน โดยมีมุมของใบต่อใบเป็นมุม 120 – 160 องศา ใบอ่อนที่เกิดขึ้นม้วน และกางออกค่อนข้างมาก และโค้งลงปรกดิน รากเป็นระบบรากฝอย ไม่ปรากฏดอกให้เห็นแม้มีอายุ 6 ปี การปลูกกล้วยเบพ ควรใช้พีทมอสเป็นวัสดุปลูกในช่วง 2 – 3 เดือนแรก หลังจากนั้นย้ายปลูกในวัสดุปลูก ซึ่งประกอบด้วยดินผสม: ทราย: ขุยมะพร้าว อัตราส่วน 2: 2:1 หรือดินผสม: ทราย อัตราส่วน 1: 1

ภาพที่ 1 กล้วยเบพ
กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ (Kasetsart Bananas)
จากการศึกษาของภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ. 2541 – 2544 ได้ทำการฉายรังสีแกมมากับต้นอ่อนที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแบบเฉียบพลันที่ 0, 10, 20 และ 30 เกรย์ พบว่าทุกความเข้มของรังสีก่อให้เกิดการกลายของพันธุ์จากพันธุ์กำแพงเพชรเดิม กล่าวคือ
0 เกรย์ หน่อที่ไม่ได้ฉายรังสีเลย พบว่ามีต้นที่ผลมีผิวมันเป็นเงา ส่วนอื่นๆเหมือนกับกล้วยไข่กำแพงเพชร การกลายพันธุ์แบบนี้เกิดจาก สารเคมีในอาหารที่ใช้เลี้ยงต้นอ่อน ได้ตั้งชื่อว่า กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 3
10 เกรย์ พบว่าผลยาวขึ้น เรียวสวย การเรียงตัวของผลในแต่ละหวีสวย แต่เนื้อไม่แน่นเท่ากล้วยไข่กำแพงเพชร ได้ตั้งชื่อว่า กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 1
20 เกรย์ พบการกลาย 3 แบบ
- พบว่าผลสั้นลง เล็กป้อม ปลายผลทู่มน ก้านผลยาวขึ้นเล็กน้อย จึงทำให้การเรียงตัวดี เนื้อแน่น รสหวาน หอม ได้ตั้งชื่อว่า กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 2
- ผิวมัน ให้ชื่อว่า กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 4
- ปลายผลแหลม เนื้อคล้ายกล้วยไข่กำแพงเพชร ให้ชื่อว่า กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 5
30 เกรย์ ได้ผลขนาดเล็กมาก จึงไม่เก็บไว้ทำพันธุ์
พันธุ์กลายที่เกิดขึ้นได้ตั้งชื่อว่า กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 1 – 5 (Kasetsart Banana 1 – 5) และเมื่อได้ทำการตรวจสอบ DNA ด้วยเทคนิค SRAP พบว่า ทุกพันธุ์มีความแตกต่างจากกล้วยไข่กำแพงเพชร และทุกพันธุ์มีความแตกต่างกันด้วย ยกเว้นกล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 4 ซึ่งไม่แตกต่าง แสดงว่าการเกิดกลายพันธุ์ของกล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 4 ในช่วงแรกไม่คงที่ และเมื่อปลูกเปรียบเทียบพันธุ์ที่สถานีวิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก็พบความคงที่ของพันธุ์กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 1, 2, 3 และ 5 เช่นเดียวกับการศึกษาทาง DNA ดังนั้นจึงได้ตัดกล้วยไข่เกษตรศาสตร์ จดทะเบียนกล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 1, 2, 3 และ 5 ไว้ที่กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
|
ภาพที่ 2 กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 1 |
ภาพที่ 3 กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 2 |
|
|
ภาพที่ 4 กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 3 |
ภาพที่ 5 กล้วยไข่เกษตรศาสตร์ 5 |
|