แนวโน้มการศึกษาภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีนในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ - เปรียบเทียบเรื่องแรงจูงใจ
       

               งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิเคราะห์เปรียบเทียบสภาพการณ์การศึกษาภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีนในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน โดยมุ่งประเด็นหลักด้านแรงจูงใจ  การประกอบอาชีพในอนาคต  ทัศนคติต่อภาษา  รวมถึงศึกษาปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง  เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามในช่วงเดือนมิถุนายน 2549 – ธันวาคม 2550  และการวิจัยเอกสาร  กลุ่มประชากร  เป้าหมายที่สำรวจ ได้แก่ นิสิตเอกวิชาภาษาญี่ปุ่นชั้นปีที่ 1 – 4 จำนวน 101 คน  นิสิตนอกสาขาที่ลงทะเบียนเรียนภาษาจีนจำนวน 271 คน  ซึ่งผลการสำรวจพบว่านิสิตทั้งสองสาขามีแรงจูงใจในการเรียนแตกต่างกัน  กล่าวคือแรงจูงใจที่ทำให้นิสิตเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นทั้งนิสิตเอกและนิสิตนอกสาขาวิชาเอกเลือกในอันดับสูงสุดคือชอบและสนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่น  เฉลี่ยร้อยละ 61.40 และร้อยละ 70.23  ตามลำดับซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าเป็นแรงจูงใจจากภายใน  ส่วนนิสิตเอกภาษาจีนและนิสิตนอกสาขาภาษาจีนมีแรงจูงใจจากภายนอก  กล่าวคือ ผู้เรียนเลือกเหตุผลในการเรียนเนื่องจากคาดว่าประเทศจีนจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในอนาคต  ร้อยละ 31.70 และร้อยละ 32.10 ตามลำดับ  ด้านการประกอบอาชีพในอนาคตก็พบว่าอาชีพที่นิสิตญี่ปุ่นและจีนสนใจแตกต่างกันคือ นิสิตเอกภาษาญี่ปุ่นสนใจที่จะเป็นนักแปล  ส่วนนิสิตเอกภาษาจีนสนใจการประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว  ต่อทัศนคติในการเรียนพบว่าผู้เรียนเอกภาษาญี่ปุ่นชอบเรียนภาษาญี่ปุ่นเฉลี่ยร้อยละ 96.90 และผู้เรียนภาษาจีนก็ชอบเรียนเกินกว่าร้อยละ 90  นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงพบว่าสาขาวิชาภาษาญี่ปุ่นมีการปรับปรุงหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต 2549 โดยเน้นวิชาทักษะฟังพูดมากขึ้น มีการบรรจุวิชาสหกิจศึกษาในหลักสูตรเพื่อการฝึกงานในสถานประกอบการ  ส่วนภาษาจีนนั้นพบว่ามีนิสิตนอกสาขาสนใจเรียนภาษาจีนเป็นอย่างมาก  สาขาภาษาจีนขยายตัวในอัตรารวดเร็ว  มีการก่อตั้งสถาบันขงจื๊อ  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี พ.ศ.2549  ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทั้งหมดย่อมบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงแนวโน้มในการศึกษาภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีนในประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป

  
คณะผู้วิจัย :
ยุพกา  ฟูกุชิม่า สร้อยสุดา  ณ ระนอง และ กนกพร  นุ่มทอง
หน่วยงาน :
ภาควิชาภาษาต่างประเทศ   คณะมนุษยศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โทร. 02-579-5566-8 ต่อ 2410