ผลของคาเฟอีนที่มีต่อเวลาปฏิกิริยาและความเร็วของนักวิ่งระยะสั้น
THE EFFECTS OF CAFFEINE ON REACTION TIME AND SPEED OF SPRINTERS

       
          

          กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก กาแฟที่มีจำหน่ายมีหลายรูปแบบไม่ว่า จะเป็นกาแฟทั้งเมล็ด  กาแฟคั่วบด  กาแฟผงสำเร็จรูป และกาแฟสำเร็จรูปบรรจุกระป๋อง ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามสารที่ออกฤทธิ์ที่สำคัญที่พบในกาแฟแทบทุกชนิด คือ คาเฟอีน (Caffeine)

          คาเฟอีนมีฤทธิ์ต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจ กระตุ้นระบบฮอร์โมน กระตุ้นระบบของไตในการขับปัสสาวะ และมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS)  เป็นต้น นอกจากนี้คาเฟอีนยังทำให้นักกีฬาออกกำลังกายได้นานขึ้น (Sawynok, 1995; Daniels et  al., 1998)  ในระยะเริ่มแรกคาเฟอีนถูกจัดรวมอยู่ในสารต้องห้าม (banned substances) กลุ่ม Stimulants ประเภท A (IOC : International  Olympic Committee) และนับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency, WADA) ได้เพิกถอนคาเฟอีนออกจากรายการสารต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ใช้ (The 2004 Prohibited  List) ในการแข่งขันกีฬารายการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการโอลิมปิคสากล  ทั้งนี้องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลกยังคงติดตามการใช้สารคาเฟอีนในนักกีฬาโดยกำหนดให้อยู่ในรายการสารที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวัง (The  monitoring  program)  มาจนถึงปัจจุบัน  (World Anti-Doping Agency,  2004,  2005,  2006,  2007)              

         จากเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยได้เห็นถึงความสำคัญของคาเฟอีนและมีความสนใจที่จะศึกษาถึงผลของคาเฟอีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีอยู่ในกาแฟที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายว่ามีผลต่อเวลาปฏิกิริยาอย่างง่าย  เวลาปฏิกิริยาในการออกตัวและความเร็วของนักวิ่งระยะสั้นอย่างไร เพื่อเป็นแนวทางต่อผู้ฝึกสอน  นักกีฬา  และผู้ที่เกี่ยวข้องนำผลการศึกษาไปพิจารณาประยุกต์ใช้คาเฟอีนในนักกีฬาตามความเหมาะสมต่อไป อีกทั้งเป็นการเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อประกอบ การพิจารณาในการใช้สารที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังนี้ ในอันที่จะส่งผลเพิ่มสมรรถภาพของนักกีฬาและเป็นแนวทางในการศึกษาในโอกาสต่อไป

วิธีการ

         กลุ่มตัวอย่างเป็นนักวิ่ง 100 เมตร ในนามทีมชาติไทย อายุ 17-19 ปี เพศชาย  จำนวน 6 คน  ทำการทดลองแบบ Double-blind crossover design โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับเครื่องดื่ม 4 ชนิด ได้แก่ 1) สารละลาย Sucralose (S)    2) เครื่องดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 0.4167 mg/kg BW (D)     3) เครื่องดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 3.5 mg/kg BW (M) และ         4) เครื่องดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีน 7 mg/kg  BW (C)  การทดลองแต่ละครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 3 วัน ทำการทดสอบเวลาปฏิกิริยาอย่างง่ายในช่วงนาทีที่ 0 ก่อนดื่มและหลังดื่มนาทีที่ 25, 50, 75, 100 และ 125 ตามลำดับ ในนาทีที่ 60 ทำการทดสอบเวลาปฏิกิริยาการออกตัวและความเร็วในการวิ่ง 100 เมตรโดยบันทึกเวลาเมื่อกลุ่มตัวอย่างวิ่งผ่านระยะทาง 15, 30, 60 และ100 เมตร

ขั้นตอนการทดสอบ

 


ผลการทดลอง

           จากรูปที่ 1   จะสังเกตเห็นว่าในเกือบทุกช่วงเวลาหลังได้รับเครื่องดื่มชนิด C โดยทำการฝึกซ้อมตามปกติประจำวัน มีผลทำให้เวลาปฏิกิริยาอย่างง่ายมีแนวโน้มเร็วกว่าการได้รับเครื่องดื่ม S, D และ M ซึ่งปริมาณการตอบสนองของร่างกายต่อปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับที่แตกต่างกันออกไปนี้ จะเป็นไปในลักษณะที่เป็นความสัมพันธ์ที่สอดคล้องกัน (dose-response  relationship) กล่าวคือหากได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากจะทำให้เวลาปฏิกิริยาอย่างง่ายเร็วขึ้นมากกว่าเมื่อได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่ต่ำกว่า  ซึ่งแสดงถึงช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คาเฟอีนถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อในการกระตุ้นให้เวลาปฏิกิริยาอย่างง่ายเร็วขึ้นกว่าภาวะที่ไม่ได้รับคาเฟอีน

ภายหลังได้รับเครื่องดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนปริมาณต่างๆกัน เป็นเวลา 60 นาที เวลาปฏิกิริยาการออกตัวมีแนวโน้มเร็วกว่าได้รับสารละลาย Sucrelose (S) เล็กน้อย (ดังแสดงในรูปที่ 2) โดยไม่พบความมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งผลที่พบนี้ น่าจะเกิดจากฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางของคาเฟอีนเช่นเดียวกันกับที่ส่งผลต่อเวลาปฏิกิริยาอย่างง่าย

         จากรูปที่ 3 แสดงให้เห็นถึงความเร็วเฉลี่ยในการวิ่งระยะทาง 100  เมตร  ระยะต่าง ๆ โดยจะสังเกตได้ว่าช่วง 30-60 เมตรมีแนวโน้มว่าการได้รับเครื่องดื่ม C จะทำให้ความเร็วในช่วงระยะทางนี้เร็วที่สุด ในขณะที่การได้รับเครื่องดื่ม M และ D จะมีความเร็วลดหลั่นกันตามลำดับ โดยที่หากเป็นการวิ่งระยะทาง 100 เมตร จะไม่พบแนวโน้มความได้เปรียบใดๆ

 

 

สรุปผลการวิจัย

                เมื่อกลุ่มตัวอย่างได้รับเครื่องดื่มชนิด S, D, M และ C มีผลทำให้เวลาปฏิกิริยาอย่างง่าย  เวลาในการออกตัว  และความเร็วในการวิ่ง 100 เมตร แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05  โดยมีแนวโน้มว่าการได้รับเครื่องดื่ม C จะส่งผลดีที่สุดในทุกตัวแปร

 

  
คณะผู้วิจัย :
ธนวุฒิ  แสงบุญ , อาภัสรา  อัครพันธุ์ และ ธงธวัช  อนุคระหานนท์
หน่วยงาน :
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และ ศูนย์ตรวจสอบสารต้องห้ามในนักกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล