มะขามป้อมมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Phyllanthus emblica L. อยู่ในตระกูล Euphorbiaceae
ชื่ออื่นๆเช่น emblic, emblic myrobalan, aonla, amla, emblique, officinale, bilimbi madras, myrobalan emblique เป็นพืชท้องถิ่นมีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอย่างกว้างขวางตั้งแต่ บริเวณประเทศเนปาล อินเดีย ศรีลังกาถึงประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และขึ้นไปจนถึงประเทศจีนตอนใต้ นอกจากนี้ยังมีการปลูกเป็นการค้าในประเทศจีน อินเดีย มอริเชียส หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ตามธรรมชาติจะพบมะขามป้อมบริเวณป่าเบญจพรรณแล้ง ป่าละเมาะหรือตามป่าชุมชน ชอบดินลูกรังหรือดินปนทราย มะขามป้อมเป็นพืชที่ตอบสนองต่อช่วงแสงคือจะออกดอกที่ช่วงวันยาว (12 ถึง 13.5ชั่วโมง) เราสามารถพบมะขามป้อมตามธรรมชาติได้ในบริเวณพื้นที่ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลไปจนถึงพื้นที่สูงถึง 1,500 เมตร มะขามป้อมมีการเจริญเติบโตช้ามากโดยต้นจากการเพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตครั้งแรกเมื่อต้นมีอายุประมาณ 8 ปี
ในประเทศไทยพบว่ามะขามป้อมจะมีช่วงการให้ผลผลิตแตกต่างกันไปตามสภาพท้องถิ่น จากผลการสำรวจพบว่าในเขตภาคใต้ช่วงการให้ผลผลิตจะอยู่ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนและบนดอยสูงที่หนาวเย็นของเชียงใหม่จะเก็บผลได้ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม อย่างไรก็ตามก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละปี
แต่ก็นับเป็นข้อได้เปรียบที่เราสามารถเก็บเกี่ยวผลมะขามป้อมได้เป็นช่วงเวลาที่นานถึงประมาณ 6 เดือน
ในประเทศไทยเราผลผลิตมะขามป้อมที่บริโภคกันอยู่ส่วนใหญ่หรือเรียกได้ว่าทั้งหมดเก็บรวบรวมจากป่าธรรมชาติ การเก็บผลปะปนกันมาจากหลายต้นหลายแหล่งทำให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณหรือคาดเดาปริมาณผลผลิตแต่ละปีได้ และก็ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพ ไม่ทราบปริมาณสารสำคัญในผลซึ่งเป็นตัวกำหนดคุณภาพของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะการนำไปผลิตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์ยา
ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การเก็บเกี่ยวผลผลิตจากป่ามาบริโภคหรือนำมาจำหน่ายเป็นวิถีชีวิตที่ไม่น่าจะยั่งยืน นอกจากจะเสี่ยงต่อการใช้ประโยชน์จากป่าแบบเกินกำลังผลิตแล้ว การเก็บเกี่ยวแบบไม่ถูกวิธี ขาดการอนุรักษ์ บำรุงรักษายังอาจส่งผลต่อการเปลี่ยน แปลงของระบบนิเวศ และที่สำคัญอาจเสี่ยงต่อความผิดฐานบุกรุกป่าโดยไม่ตั้งใจ
มะขามป้อมเป็นผลไม้ตามธรรมชาติที่มีการใช้ประโยชน์ด้านการเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและเป็นยาสมุนไพรในประเทศต่างๆ ที่มีการแพร่กระจายของมะขามป้อมมาช้านานแล้วรวมถึงประเทศไทยด้วย ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีการจดสิทธิบัตรการใช้มะขามป้อมเป็นส่วนประกอบในยาบางตัวไปบ้างแล้ว
ผล : แก้ไอ ละลายเสมหะ กระตุ้นน้ำลาย แก้เจ็บคอ คอแห้ง คอตีบ
ใบ : แก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน แผลมีหนองเรื้อรัง บิดจากแบคทีเรีย
เปลือก : รักษาบาดแผล แผลฟกช้ำ บิด
ราก : แก้ร้อนใน ท้องเสีย ลดความดัน รักษาโรคเรื้อน
ปมที่ก้าน : แก้ปวดกระเพาะอาหาร ปวดท้องน้อย ปวดเมื่อยในกระดูก ปวดฟัน ไอ ไส้เลื่อน
ในอินเดียใช้ประโยชน์จากใบ เปลือกและผลในอุตสาหกรรมฟอกย้อมเนื่องจากมีสารแทนนินสูง
ปัจจุบันมะขามป้อมกำลังเป็นที่จับตามองในแง่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ เครื่อง สำอางและยาสมุนไพร มีการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปมากมาย เช่น น้ำมะขามป้อม มะขามป้อมแช่อิ่ม มะขามป้อมดอง มะขามป้อมผง เครื่องสำอางบำรุงผิวและยอมผม เป็นยาสมุนไพรแก้ไอและเจ็บคอเป็นต้น
คุณสมบัติที่สำคัญในผลมะขามป้อมคือการมีวิตามินซีและแทนนินสูง ผลมะขามป้อมมี vitamin C สูงมาก ปริมาณ vitamin C ในแต่ละต้นจะแตกต่างกันออกไป รายงานบางฉบับกล่าวว่า น้ำคั้นจากผลมะขามป้อม 100 กรัมจะมี vitamin C อยู่ถึง 600 ถึง 1,000 มิลลิกรัม vitamin C จากมะขามป้อมมีประสิทธิภาพเหนือกว่า vitamin C จากการสังเคราะห์ประมาณ 12 เท่า วิตามินซีสามารถทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันเซลล์จากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย อนุมูลอิสระเกิดมาจากทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศ ควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายก็เกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์หรือเกิดจากการย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย อนุมูลอิสระทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้เกิดการอักเสบ กาทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ เนื้องอก โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด
รายงานของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกาพบว่า vitamin C อาจสามรถฆ่าเซลล์มะเร็งได้หลังจากทดลองกับหนูสำเร็จและอยู่ระหว่างทดลองกับมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับนักวิจัยในอังกฤษที่เคยมีรายงานไว้ นอกจากมี vitamin C สูงแล้วมะขามป้อมยังมี tannin อยู่ทุกส่วนของต้น โดยเฉพาะที่ผลมี tannin พวก gallotannins และ ellagitannins (ellagic tannin) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยรักษาความเสถียรของ vitamin C ให้คงคุณภาพได้นาน แม้จะถูกแปรรูปโดยการดองหรือทำผง ผลดิบของมะขามป้อมมี tannin สูง 8-35 % ในขณะที่เปลือกมี tannin 8-24 % ส่วนที่ใบมีอยู่ประมาณ 22-28 % tannin ในมะขามป้อมเป็นสารสำคัญที่เป็นยารักษาโรคต่างๆ เช่น โรคในระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร แผลในลำไส้ ลดไขมันและน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต( Institute for Traditional Medicine, Portland )
การมี vitamin C และแทนนินมากทำให้ผลมะขามป้อมมีคุณสมบัติทางยามากมาย ซึ่งคงจะต้องมีการศึกษาวิจัยกันอีกมาก สอดคล้องกับบทสรุปในการระดมความคิดเห็นของนักวิจัยและองค์กรด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตร ที่ให้มุ่งเน้นกระบวนการเกษตรอินทรีย์เป็นหลักและหาแนวทางวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่มสารอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระและสารพฤกษเคมีต่างๆจากผลผลิตเกษตร
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งมีวิสัยทัศน์ “ค้นคว้าและพัฒนาระบบเกษตรอย่างยั่งยืน ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พร้อมบริการวิชาการ สืบสานภูมิปัญญาไทย” ได้เล็งเห็นความสำคัญของงานวิจัยและพัฒนาการผลิตมะขามป้อมเพื่อการใช้ประโยชน์จากมะขามป้อมในอนาคตให้เป็นไปอย่างมีทิศทาง เป็นระบบสามารถเชื่อมโยงและร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆได้ โดยปัจจุบันได้จัดทำโครงการวิจัยเพื่อสำรวจและคัดเลือกสายพันธุ์มะขามป้อมจากแหล่งธรรมชาติต่างๆ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณภาพดี มีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์สูงและมีคำแนะนำในการปลูกเลี้ยงที่ดี ขณะเดียวกันก็วิจัยเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างทางเลือกทางการตลาดให้มากขึ้นเกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมมะขามป้อมครบวงจร แม้กระทั่งการผลิตยารักษาโรคโดยใช้
สารสกัดจากมะขามป้อมก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการทราบชนิดและปริมาณสารสำคัญในผลมะขามป้อมที่นำมาเป็นวัตถุดิบ
ปัจจุบันได้ดำเนินการสำรวจและเก็บตัวอย่างมะขามป้อมจากแหล่งธรรมชาติที่มีการกระจายพันธุ์หนาแน่น วิเคราะห์คุณภาพผลผลิต คัดเลือกและจัดทำแปลงรวบรวมสายพันธุ์มะขามป้อมไว้ ณ สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร บ้านบางเบิด อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อศึกษาในโครงการ”การศึกษาและคัดเลือกพันธุ์และการผลิตมะขามป้อมเพื่ออุตสาหกรรม”โดยมีสายพันธุ์ที่มี vitamin C สูงน่าสนใจคือ K 1, K 3, K 5, P 6, P 7, P 8, B 14, B 15 ( K จากแหล่งกาญจนบุรี P จากแหล่งประจวบคีรีขันธ์ B จากแหล่งบุรีรัมย์ )
|