การผลิตพืชในระบบการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practice : GAP) หรือเกษตรอินทรีย์(Organic farming) มีหลักการที่สอดคล้องกันคือผลิตพืชที่มีคุณภาพดีตามมาตรฐานที่กำหนด โดยมีขบวนการผลิตที่ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดความยั่งยืนทางการเกษตร และไม่ทำให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุอินทรีย์จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการผลิตพืชในระบบดังกล่าว ทั้งในแง่ของการนำมาทำเป็นปุ๋ยและวัสดุปลูก โดยเป็นแหล่งที่สำคัญของธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ซึ่งธาตุอาหารจะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างช้าๆ ให้พืชสามารถนำไปใช้ได้ตลอดระยะเวลาการเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารพืช ช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินเช่น ความโปร่งร่วนซุย ความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน แต่ปุ๋ยอินทรีย์มีข้อจำกัดคือปริมาณธาตุอาหารพืชต่ำ และการปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชต้องอาศัยกิจกรรมของจุลินทรีย์
การทดลองนี้ทำขึ้นเพื่อศึกษาปริมาณการปลดปล่อยธาตุปุ๋ยหรือธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน; N, ฟอสฟอรัส; P และโพแทสเซียม; K) ในรูปที่เป็นประโยชน์ของวัสดุอินทรีย์ 3 ชนิดคือ ถ่านแกลบ เปลือกถั่วลิสง และมูลวัว เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเลือกใช้วัสดุในการปลูกพืชทั้งในสภาพโรงเรือนและในแปลงปลูกพืช การศึกษาทำโดยผสมดิน (200 ก.) กับวัสดุอินทรีย์ในอัตราที่ดินจะได้รับไนโตรเจนทั้งหมดจากวัสดุเท่ากับ 200 มก.N/กก. หมักดินผสมที่ระดับความจุน้ำสนามของดิน (FC) ซึ่งมีค่าศักย์น้ำ -0.03 MPa และทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการใส่จุลินทรีย์ (เชื้อ พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดิน) และไม่ใส่เชื้อจุลินทรีย์ วิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารหลักในรูปที่เป็นประโยชน์(Available N, Available P และ Exchangeable K) ที่ 0, 1, 2, 4, 5, 6 และ 8 สัปดาห์ของการหมัก
|
|
|
|
ถ่านแกลบ |
เปลือกถั่ว |
มูลวัว |
เชื้อ พด.1 |
ตารางที่ 1 สมบัติของดินที่ใช้ในการศึกษา
รายการ |
ค่าวิเคราะห์ |
การแปลผล1/ |
pH ของดิน:น้ำ = 1:1 |
7.99 |
ด่างปานกลาง |
การนำไฟฟ้าของสารละลายดินที่อิ่มตัวด้วยน้ำ (ECe) |
0.41 dS/m |
ไม่มีความเค็ม |
อินทรียวัตถุ (OM) |
1.46 % |
ค่อนข้างต่ำ |
ไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ (Available N) |
7.85 มก./กก. |
ต่ำมาก |
ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ (Available P) |
77.84 มก./กก. |
สูงมาก |
โพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ (Exchangeable K) |
99.58 มก./กก. |
สูง |
ความจุน้ำสนาม (FC) |
24.13 % (โดยมวล) |
|
1/ Havlin et al., 1999 และกรมพัฒนาที่ดิน, 2542 |
ตารางที่ 2 สมบัติของวัสดุอินทรีย์ที่ใช้ในการศึกษา
รายการ |
ชนิดของวัสดุอินทรีย์ |
ถ่านแกลบ |
เปลือกถั่วลิสง |
มูลวัว |
pH ของดิน:น้ำ = 1:5 |
7.81 |
7.06 |
7.87 |
การนำไฟฟ้าของสารละลายดิน:น้ำ = 1:10 (EC) |
0.57 dS/m |
0.91 dS/m |
1.56 dS/m |
อินทรียวัตถุ (OM) |
6.22 % |
77.18 % |
55.52 % |
ไนโตรเจนทั้งหมด (Total N) |
0.09 % |
1.19 % |
1.15 % |
ฟอสฟอรัสทั้งหมด (Total P) |
0.15 % |
0.10 % |
0.46 % |
โพแทสเซียมทั้งหมด (Total K) |
0.60 % |
0.51 % |
0.76 % |
อัตราส่วนระหว่างอินทรียคาร์บอนกับไนโตรเจนทั้งหมด (C:N ratio) |
40.2 : 1 |
37.7 : 1 |
28.1 : 1 |
ผลการศึกษา (ภาพที่ 1) พบว่า แม้ว่าดินจะได้รับไนโตรเจนทั้งหมดจากวัสดุทั้ง 3 ชนิดเท่ากัน (200 มก.N/กก.) แต่ในดินหมักกับเปลือกถั่วลิสงมีปริมาณการปลดปล่อยไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์เฉลี่ยมากที่สุดในทุกสัปดาห์ของการหมัก โดยมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดตั้งแต่สัปดาห์ที่ 2 ของการหมัก ส่วนดินหมักกับถ่านแกลบและมูลวัวมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกัน ดินหมักกับถ่านแกลบมีค่าเฉลี่ยของปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์และโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้มากที่สุดในทุกสัปดาห์ของการหมัก ทั้งนี้เนื่องจากถ่านแกลบมีปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดต่ำกว่าเปลือกถั่วลิสงและมูลวัว ทำให้ต้องใช้ถ่านแกลบผสมดินในปริมาณที่สูงกว่าเปลือกถั่วลิสงและมูลวัวเพื่อให้ดินได้รับไนโตรเจนเท่ากัน จึงส่งผลให้ดินได้รับฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมจากถ่านแกลบสูงด้วย ส่วนค่าเฉลี่ยของปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์และโพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ในดินหมักกับมูลวัวมีแนวโน้มสูงกว่าเปลือกถั่วลิสง อาจเป็นเพราะมูลวัวมีปริมาณทั้งหมดของฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงกว่าเปลือกถั่วลิสง
ภาพที 1 ปริมาณการปลดปล่อยธาตุอาหารหลัก (ไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม)
ในรูปที่เป็นประโยชน์ของดินผสมวัสดุอินทรีย์ โดยมีการใส่และไม่ใส่เชื้อจุลินทรีย์
(เชื้อ พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดิน) ที่สัปดาห์ต่างๆ ของการหมัก
ในการย่อยสลายสารอินทรีย์เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์นั้น นอกจากจะย่อยสลายเพื่อให้ได้เป็นพลังงานไปใช้แล้ว จุลินทรีย์ยังนำธาตุจากสารอินทรีย์นั้นไปใช้สร้างสารประกอบในเซลล์ โดยเฉพาะคาร์บอนกับไนโตรเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรตีน อัตราส่วน C:N ของวัสดุอินทรีย์ช่วง 20 – 30 จัดว่าเพียงพอต่อความต้องการของจุลินทรีย์ ถ้าไนโตรเจนในสารอินทรีย์มีไม่เพียงพอต่อความต้องการจุลินทรีย์มักดึงไนโตรเจนจากดินไปใช้ เกิดกระบวนการ immobilization ของไนโตรเจนในดิน (การเปลี่ยนรูปของธาตุอาหารจากอนินทรีย์เป็นอินทรีย์ในจุลินทรีย์) ทำให้ปริมาณไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง แต่การที่เปลือกถั่วซึ่งมีค่าอัตราส่วน C:N สูงกว่ามูววัว มีปริมาณการปลดปล่อยไนโตรเจนที่เป็นประโยชน์สูงกว่านั้นอาจเป็นเพราะสารประกอบในวัสดุแตกต่างกัน เนื่องจากสารประกอบในพืช ได้แก่ เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส ลิกนิน โปรตีน แป้งและน้ำตาล จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ได้ยากง่ายแตกต่างกันออกไปขึ้นกับความซับซ้อนของโครงสร้างโมเลกุลและปริมาณในพืช (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2541) สารประกอบชนิดคาร์โบไฮเดรทและโปรตีนที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนจะมีอัตราการสลายตัวเร็ว ส่วนสารประกอบชนิดเซลลูโลสและลิกนินจะมีอัตราการสลายตัวช้า อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ในดินที่เวลาต่างๆ อาจเป็นผลมาจากอัตราการเกิดขบวนการ immobilization และ mineralization ของธาตุอาหารในดิน (การเปลี่ยนรูปของธาตุอาหารจากอินทรีย์เป็นอนินทรีย์โดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ ทำให้พืชสามารถดูดใช้ได้) ถ้าอัตราการเกิด immobilization สูงกว่า mineralization ปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ในดินจะลดลง แต่ถ้าอัตราการเกิด immobilization ต่ำกว่า mineralization ปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ในดินจะเพิ่มขึ้น (Sophie and Marstorp, 2002)
ผลการศึกษาไม่พบความแตกต่างอย่างเด่นชัดของการใส่และไม่ใส่เชื้อจุลินทรีย์ต่อปริมาณการปลด ปล่อยธาตุอาหารหลักในรูปที่เป็นประโยชน์ในช่วงเวลาที่ศึกษา อาจเพราะในดินมีจุลินทรีย์มากมายหลายชนิด และภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมของปัจจัยต่างๆ ได้แก่ pH, ปริมาณ O2 , อุณหภูมิและระดับความชื้นของดิน จะมีผลส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้มีการย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ในดินด้วย (ธงชัย, 2550) ระดับความชื้นของดินที่พอเหมาะต่อการย่อยสลายอยู่ที่ค่าศักย์น้ำ -0.01 ถึง -0.05 MPa (คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา, 2541)
|