การปรับปรุงพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง
       

          มะเดื่อฝรั่ง  หรือ  Fig    มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า   Ficus carica L.  อยู่ในวงศ์   Moraceae เช่นเดียวกับพวกหม่อน  (mulberry)   มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีการปลูกมะเดื่อฝรั่งมานับพันปีในประเทศแถบลุ่มแม่น้ำเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรปและแอฟริกาเหนือ  (Manago, 2006)  ปัจจุบันการปลูกมะเดื่อฝรั่งได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในประเทศสเปน  ตุรกี  และอิตาลี    บางพันธุ์สามารถปลูกได้ในแคลิฟอร์เนียทางใต้และพื้นที่แห้งแล้งของอเมริกา    มะเดื่อฝรั่งเป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนการกำจัดของเสียของร่างกาย  ในผลสดมีปริมาณเส้นใยอาหาร  1.2 %  ส่วนในผลอบแห้งสูงถึง  5.6% กล่าวได้ว่ามะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่น่าสนใจมากในแง่ของอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง     เกลือโปแตสเซียมในกรดอินทรีย์ของมะเดื่อฝรั่งช่วยสร้างความสมดุลระหว่างความเป็นกรด-ด่างในร่างกายโดยไม่ให้เกิดกรดมากเกินไป  นอกจากนี้ยังพบว่ามีโปรตีน  เอ็นไซม์  วิตามินและเกลือแร่ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย

         มะเดื่อฝรั่งเป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวได้มากกว่า 100 ปี ในทางการค้าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานหลายสิบปีขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการเขตกรรมที่เหมาะสมสามารถให้ผลผลิตได้ 1 – 2 ครั้งต่อปี   ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสายพันธ์และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูก ในฤดูใบไม้ผลิ ผลรุ่นที่หนึ่งจะพัฒนามาจากตาที่เกิดจากกิ่งปีที่แล้ว ส่วนผลรุ่นที่สองจะเกิดจากกิ่งที่กำลังเจริญเติบโต ในช่วงเวลาที่ถัดมาและพบว่ามีจำนวนมากกว่าชุดแรก

         ปัจจุบันพบว่าผลผลิตทั่วโลกประมาณ 90% จะถูกแปรรูปเป็นผลไม้แห้ง นอกนั้นจะใช้รับประทานเป็นผลสดโดยเก็บเกี่ยวจากต้น ซึ่งต้องมีการคัดเลือก บรรจุลงภาชนะอย่างระมัดระวัง และเก็บไว้ในที่ที่มีความเย็นก่อนถึงตลาดหรือผู้บริโภค   มีปริมาณน้อยมากที่บรรจุลงในกระป๋องหรือทำการแปรรูปอื่น ๆ

         ในประเทศไทย    มูลนิธิโครงการหลวงมีการศึกษาวิจัยมะเดื่อฝรั่งมานานกว่า  20  ปีแล้ว  โดยมีจุดประสงค์ที่มุ่งเน้นการปลูกพืชที่สร้างรายได้ให้กับชาวไทยภูเขาทดแทนฝิ่น  ตามสถานีวิจัยต่าง ๆ ของมูลนิธิโครงการหลวง    กระทั่งปัจจุบันการศึกษาวิจัยได้ทำการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา  กายวิภาควิทยา  และการเจริญเติบโตของมะเดื่อฝรั่งบางสายพันธุ์   โดยเน้นไปที่การปรับตัวและการให้ผลผลิตในสภาพพื้นที่สูงในเขตร้อนโดยทั่วไปมะเดื่อฝรั่งสามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่  600 ถึง 800 เมตรได้    

           มะเดื่อฝรั่งเป็นพืชที่ต้องการความหนาวเย็นเพื่อใช้ทำลายการพักตัวที่สั้นมาก  (low chilling requirement)  โดยต้องการอุณหภูมิที่ต่ำกว่า  7 0C  เป็นเวลาไม่ถึง  300  ชั่วโมง  สามารถทนต่อความหนาวเย็นหรือน้ำค้างแข็งได้น้อยกว่าพืชเขตหนาวอื่น ๆ ในสภาพที่มีน้ำค้างแข็งและอุณหภูมิ  -5   ถึง  -10  0C   อาจทำให้ต้นตายถึงระดับพื้นดินได้  การพัฒนาของผลที่ดีต้องการช่วงเวลาที่แห้งและอบอุ่นเป็นเวลานานหลายเดือน

          ลักษณะทางสัณฐานวิทยา  ลำต้นจะเป็นเนื้อไม้สีอ่อนที่แยกหลุดออกได้ง่าย  และไม่พบส่วนที่เป็นไส้ไม้ (pith) อยู่  ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว  ส่วนใหญ่ขอบใบหยักลึก  3-5  หยัก  แต่ก็อาจพบลักษณะที่ตรงไม่หยัก  ทำให้ภายในต้นเดียวกันมีรูปร่างใบได้หลายแบบและใช้ในการจำแนกสายพันธุ์ได้   มีความหนาและค่อนข้างแข็ง   ก้านใบที่อยู่ในพื้นที่ร่มจะมีความยาวกว่าส่วนที่อยู่ในพื้นที่กลางแจ้ง   สีของก้านใบจะมีความสัมพันธ์กับสีของผลและตายอด   ดอกมีขนาดเล็กอยู่ภายในส่วนที่เป็นฐานรองดอก  มีสามประเภทได้แก่   ดอกตัวเมียที่มีก้านเกสรเพศเมีย  (style) ยาว  ดอกตัวเมียที่มีก้านเกสรเพศเมียสั้น  (ดอกทั้งสองชนิดสามารถเกิดการผสมเกสรและเจริญต่อไปเป็นผล)   และดอกตัวผู้   ผลของมะเดื่อฝรั่งไม่ใช่ผลจริงแต่เป็น  synconium   หรือ  ฐานรองดอกที่มีส่วนประกอบของช่อดอกมีก้านโค้งเข้าหากัน  จัดเป็นแบบผลเมล็ดเดียว  (drupelet)  ขนาดเล็กเรียงอยู่ด้านในของก้านช่อดอก  ผลจึงมีขนาดเล็ดคล้ายเมล็ด   โดยขนาดและปริมาณผันแปรตามสายพันธุ์   พบว่ามีจำนวนประมาณ  1,500  ผลต่อมะเดื่อหนึ่งผล  รูปทรงและขนาดของผลมะเดื่อมีหลายแบบขึ้นกับพันธุ์  เช่น  กลวงโบ๋  (hallow)  ทรงกลม  (globular)   หรือทรงระฆังเหมือนผลสาลี่ฝรั่ง  (pear-shaped)   และมีขนาดเล็กใหญ่ต่าง ๆ กัน  ส่วนมากเมล็ดภายในมีลักษณะแบน  สีเหลืองถึงน้ำตาลอ่อน  จะมี  endocarp  ห่อหุ้ม  ทำให้มีความแข็งเล็กน้อย  ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพืชชนิดนี้

          โดยทั่วไปมีการแบ่งพืชชนิดนี้ออกเป็นสองประเภทหลัก    ได้แก่   Adriatic  fig  คือพวกที่สามารถมีการเจริญแบบ  parthenocarpic  ไม่ต้องอาศัยการผสมเกสร   ทำให้ปลูกได้ในสภาพพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำได้  พบว่าเมล็ดของประเภทนี้จะมีแต่ส่วนของ  endrocarp  เท่านั้น  และภายในไม่มีคัพภะ  มะเดื่อฝรั่งที่จัดอยู่ในประเภทนี้จะเป็นพวกที่มีความสำคัญในปัจจุบัน  และมีสายพันทางการค้ามากมาย  เช่น  Brown  Turkey, Burnswick, Kadota, Mission  และ  White Adriatic   ส่วนอีกประเภทคือ  Smyrna  fig  เป็นพวกที่มีเกสรตัวเมียต้องการการผสมเกสรสำหรับการให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ  และเมล็ดมีการพัฒนาของคัพภะ   แต่ถ้าหากไม่ได้รับการผสมเกสรแล้ว  ส่วนของผลจะร่วงได้

         ในการปรับปรุงพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง   จะคัดเลือกสายพันธุ์ดีที่มีลักษณะที่ต้องการมาผสมข้ามสายพันธุ์   โดยการผสมเกสร   จากนั้นเมื่อผลมะเดื่อสุก   จึงเพาะเมล็ด   และคัดเลือกลักษณะที่ตรงตามสายพันธุ์ที่ต้องการ  เมื่อได้สายพันธุ์ดีจึงนำกิ่งพันธุ์ดีมาทำการเปลี่ยนยอดกับต้นตอในแปลงปลูก

สายพันธุ์และลักษณะที่น่าสนใจ

  • Brown Turkey (ชื่ออื่น  Turkey , Southeastern Brown turkey, San Piero , Black Spaish)  เป็นพันธุ์ที่มีการปลูกกันมากที่สุด   ผลมีขนาดใหญ่  รับประทานสด   ผลผลิตชุดแรกมีขนาดใหญ่สีน้ำตาลเข้ม   ผลชุดหลังมีขนาดเล็กกว่า  เนื้อผลสีชมพูอ่อน ๆ ต้นมีขนาดเล็ก  ถ้าถูกตัดแต่งมากจะกระทบต่อผลผลิต
  • Celeste  (ชื่ออื่น    Blue Celeste, Celestial, Malta)  ผลออกสีเหลืองแดงปนม่วง   เนื้อเหลืองอำพันเหมือนสีดอกกุหลาบ   รับประทานสด  เป็นพันธุ์ที่ถูกแนะนำให้ปลูกโดยทั่วไป  ต้นมีความแข็งแรง
  • Kadota  (ชื่ออื่น  Florentine)   ผิวผลมีความเหนียวและสีเหลืองเขียว  ผลผลิตชุดแรกมีรสชาติที่ดีกว่า  เป็นพันธุ์ที่ใช้ในการอบแห้งและแปรรูป  ต้นมีความแข็งแรง  ปกติไม่มีเมล็ด  หรือ  Seedless
  • Conadria   มีต้นกำเนิดแถบริมแม่น้ำในแคลิฟอร์เนีย   ผลมีผิวบางและสีขาวเจือม่วง   เนื้อผลสีขาวถึงแดง   ไม่เน่าง่าย  ต้นมีความแข็งแรง   สามารถปลูกในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิได้
  • Dauphine  (ชื่ออื่น   Ronde Violltte Hative, Adam, Pequadiere, Pl no. 18873)   ปลูกในฝรั่งเศส   ใช้บริโภคผลสด  ทนทานต่อการขนส่ง  ผลมีขนาดปานกลางถึงใหญ่  ผิวเป็นมัน  ในสภาพกลางแจ้งผิวสีม่วงเข้ม   และในร่มสีม่วงออกเขียว  เนื้อหนา  คุณภาพดี  ผลรุ่นสองมีขนาดปานกลาง
ภาพที่  1 มะเดื่อฝรั่งพันธุ์ Brown Turkey      

ภาพที่  2  ภายในผลมะเดื่อฝรั่งพันธุ์ Brown Turkey

ภาพที่  3  มะเดื่อฝรั่งพันธุ์ Dauphine ภาพที่  4  มะเดื่อฝรั่งพันธุ์ Kadota    

ภาพที่  5  ผลมะเดื่อฝรั่งอบแห้ง        ภาพที่  6   ผลมะเดื่อฝรั่งสด 
ภาพที่  7   ต้นมะเดื่อฝรั่ง    ภาพที่  8   แปลงผลิตมะเดื่อฝรั่งของมูลนิธิโครงการหลวง

 

  
คณะผู้วิจัย :
ณรงค์ชัย   พิพัฒนธนวงศ์ 1  เบ็ญจารัชด   ทองยืน1  และสาวิตรี  ทิวงศ์ 2
หน่วยงาน :
1ศูนย์วิจัยระบบนิเวศเกษตร  สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2มูลนิธิโครงการหลวง   จ.เชียงใหม่
โทร.  02-5795556   สายใน  1086