ความหลากหลายของเห็ด  รา ไลเคนและการใช้ประโยชน์
       

            ราเป็นสิ่งมีชีวิตที่พบมากเป็นอันดับสองรองมาจากแมลง  ประมาณการว่าจำนวนรามี 1.5 ล้านชนิด(species)  แต่ราที่ศึกษามีจำนวน  80,000-120,000 สายพันธุ์ (Webster &Weber 2007)   ดังนั้นจึงมีราอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่มีการค้นพบ ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนชื้น   ดังนั้นจึงพบว่ารามีความหลากหลายมากและกิจกรรมในการย่อยสลายวัสดุต่างๆก็เกิดขึ้นมากทำให้นักวิจัยทั้งในและต่างประเทศทำการค้นคว้าเพื่อการค้นพบราสายพันธุ์ใหม่จากวัสดุต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรโดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ อุตสาหกรรมและการแพทย์     

            ราพบได้ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำเค็ม ในอากาศ บนพืช มูลสัตว์ ดิน รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ และวัสดุต่างๆ ได้ศึกษาวิจัยราจากดินและเศษซากพืช พบราที่น่าสนใจหลายชนิด บางชนิดเป็นราสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยรายงานพบมาก่อน ราบางชนิดสร้างเอนไซม์ และสารทุติยภูมิ (secondary metabolites) ที่สามารถจะพัฒนาไปใช้เป็นยาป้องกันกำจัดรา แบคทีเรีย ยีสต์สาเหตุโรคพืช โรคคนและสัตว์ พบรา Neurospora, Gelasinospora หลายชนิดจากดินในแหล่งต่างๆ ทั้งดินป่าและดินทำการเกษตร วิธีการแยกราดังกล่าวใช้ความร้อนและ               อัลกอฮอล์  ดินเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย  และพบรา Gelasinospora ซึ่งเป็นราเอนโดไฟท์จากใบเพกา (Oroxylum indicum) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย
Neurospora lineolata     
Gelasinospora sp.1                        
Gelasinospora hapsidophora  

               รา Neurospora ใช้ในการศึกษา Mycogenetic   รา Gelasinospora kobi สร้างสารทุติยภูมิหลายชนิดได้แก่ kobiin และ kobifuranones A, B และ C ซึ่งนำมาใช้ประโยชน์เป็นยากดภูมิคุ้มกัน(immunosuppressive components) นอกจากนี้ยังพบรา Diplogelasinospora sp. ซึ่งทั่วโลกมีรายงาน 3 ชนิด (species) ได้แก่ Diplogelasinospora grovesii , D. princeps และ D.inaequalis   ได้มีรายงานว่ารา  D. grovesii สร้างสาร  macrophin และ colletodiol  ที่เป็นประโยชน์ในการกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย (immunosuppressive  components) ซึ่งมีประโยชน์ทางการแพทย์ในการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ เช่น หัวใจ ไต เช่นเดียวกับการใช้ยา cyclosporin ซึ่งผลิตจากราดิน Tolypocladium  
ราจากเศษซากพืชที่ร่วงหล่นที่น่าสนใจได้แก่ Ellisiopsis gallesiae, Helicomyces sp., Tetraploa aristata, Torula herbarum, Wiesneriomyces javanicus และ Zalerion varium   รา Tetraploa  aristata  ซึ่งรายงานพบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย แยกได้จากกาบไผ่ จ. สระบุรี  Saparrat et al.  (2002) แยกราT. aristata     จากอินทรียวัตถุที่ปนเปื้อนด้วยคราบน้ำมันในแม่น้ำ Santiago เมืองบรูโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา  และพบว่าราสร้างเอนไซม์แลคเคส (extracellular laccase) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการย่อยสลายสารระเหยที่ปนเปื้อนในอากาศ (aromatic pollutants) ที่มีความสำคัญต่อสภาพแวดล้อม (bioremediation)  นอกจากนี้พบว่ารา Hyphomycetes  หลายชนิดสร้างเอนไซม์ดังกล่าวในปริมาณสูงกว่าที่พบในราจำพวกเห็ด (ligninolytic Basidiomycetes) เช่น Thelephora terrestris และ Pycnoporus sanguineus

Helicomyces sp
Tetraploa aristata
Wiesneriomyces javanicus

ราที่เป็นประโยชน์ทางการเกษตร
ประโยชน์ของราทางโรคพืช  ราดินและราเอนโดไฟท์บางชนิดสามารถยับยั้งการเจริญการเจริญของรา Rhizoctonia spp. สาเหตุโรคใบไหม้ของข้าว  ข้าวโพดและทุเรียน  ราดินที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมการเจริญของรา Rhizoctonia spp ได้แก่  Humicola sp, Chaetomium globosum, C.  cupreum และ Trichoderma sp. ส่วนรา  Sordaria fimicola  และ  Talaromyces flavus ไม่สามารถยับยั้งการเจริญของรา Rhizoctonia  แต่สามารถยับยั้งการเจริญของรา Alternaria alternata, Colletotrichum capsici, C. gloeosporioides, Curvularia lunata, Fusarium oxysporum, Helminthosporium maydis, H. oryzae, Peronophythora litchi, Pestalotiopsis guepinii, Phyllosticta sp., Phytophthora palmivora and  P. parasitica. และพบว่าราเอนโดไฟท์ซึ่งเจริญช้าและไม่สร้างสปอร์ที่แยกได้จากใบอุตพิต (Typhomium  trilobatum, วงศ์ Araceae)  จากจังหวัดสุพรรณบุรี สามารถยับยั้งการเจริญของรา  Rhizoctonia  spp.,  Pythium  utimum และ Phytophthora  cinnamomi

Chaetomium cupreum  vs
 Rhizoctonia (KUFC 5624)

Humicola sp. vs
Rhizoctonia (KUFC 5624)

ราเอนโดไฟท์ (กลาง) E0-1  vs  Rhizoctonia (KUFC 5624)

ราเอนโดไฟท์ (กลาง) E0-1vs  Rhizoctonia (KUFC 5625)

ประโยชน์ของราที่เจริญในทะเล
          โลกประกอบด้วยน้ำทะเลประมาณ 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมด  ดังนั้นจึงได้มีนักวิจัยให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเลกันมาก โดยเฉพาะราที่เจริญในน้ำทะเล (marine fungi) บนวัสดุต่าง ๆ เช่น ทราย สาหร่าย กิ่งไม้ เศษซากพืช ปะการัง และฟองน้ำที่อยู่ในทะเล ราดังกล่าวมีความสำคัญในการย่อยสลาย เศษซากพืช ปลา และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศทางทะเลทำให้เกิดความสมดุลย์ รวมทั้งยังสามารถสร้างเอนไซม์และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ที่สำคัญจำนวนมากซึ่งมีการพัฒนาไปเป็นยารักษาโรค เครื่องสำอาง เอนไซม์และเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ  ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลทางเศรษฐกิจ
ได้มีการค้นพบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพชนิดใหม่จากราที่เจริญในน้ำทะเลหลายชนิด Bhadury et al. (2006) รวบรวมรายงานการค้นพบสารชนิดต่างๆ จากราที่เจริญในน้ำทะเล จำนวน  272 ชนิด จากนั้นได้มีการค้นพบสารชนิดใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และมีรายงานว่าสารที่สกัดจากราดังกล่าว มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย  ไวรัส  โปรโตซัว  และราที่เป็นสาเหตุโรคของมนุษย์ (Bhadury et al., 2006; Mehta  et al., 2004) และพบว่าสารบางชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารต้านมะเร็ง (Schwartsmann et al., 2003; Holler et al., 2000) ยับยั้งการเจริญของเชื้อมาลาเรีย (Chinworrungsee et al., 2001) ยับยั้งการอักเสบ (Mayer and Hamann, 2004) รวมทั้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ(Abdel-Lateff et al., 2003) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการผลิตยาทางเภสัชกรรมและทางการแพทย์เป็นอย่างยิ่ง

Dactylospora haliotrepha
Aigialus parvus
Verruculina enalia

ประโยชน์ของราเอนโดไฟท์
               ราเอนโดไฟท์เป็นราที่เจริญอยู่ภายในกิ่ง  ใบ  และส่วนต่าง ๆ ของพืชโดยไม่ทำให้พืชเกิดโรค  การศึกษาวิจัยเรื่องราเอนโดไฟท์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการควบคุมโรคพืชทางชีววิธีจึงมีผู้ให้ความสนใจศึกษากันมาก  พืชที่นำมาศึกษาควรเป็นพืชที่เจริญในพื้นที่ ที่ปลอดจากมลภาวะ และสารพิษ ได้มีรายงานพบสาร Taxol ซึ่งยับยั้งการเจริญของเชลล์มะเร็ง (anticancer) จากรา Pestalotiopsis   microspora (Strobel, 1996) ซึ่งเป็นที่สนใจของวงการแพทย์  จากนั้นจึงได้มีการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง   Worapong et al. (2001) พบว่าราเอนโดไฟท์  Muscodor albus  จากอบเชย cinnamomum zeylanicum สร้างสารระเหย  antimicrobial volatile organic chemical ที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของราสาเหตุโรคพืชหลายชนิดได้แก่  Sclerotinia sclerotiorumRhizoctonia solani และ แบคทีเรีย Bacillus substilis    Lacey และNeven, 2006  นำสารระเหยที่ได้จากรา M. albus  ไปใช้เป็นยาฆ่าแมลงในการกำจัดตัวอ่อนและตัวเต็มวัยผีเสื้อในหัวมันฝรั่ง (potato moth, Phthorimaea  operculella) ในโรงเก็บมันฝรั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นอกจากนี้พบว่ามีการนำราเอนโดไฟท์ M. albus มาเลี้ยงบนเมล็ดข้าวไรน์ เพื่อให้ราสร้างสารระเหยในการควบคุม Meloidogyne  chitwoodi และ M. hapha ใส้เดือนฝอยสาเหตุโรคพืชในห้องปฏิบัติการ และในโรงเรือนปลูกพืชทดลองที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (Riga et al., 2008)
                จากงานวิจัยพบราเอนโดไฟท์ที่ไม่สร้างสปอร์สร้างเฉพาะเส้นใย (sterile mycelium) ที่แยกจากใบ                อุตพิษ (Typhonium  trilobatum) จาก อำเภอบางระจัน  จังหวัดสิงห์บุรี   ยับยั้งการเจริญของรา สาเหตุโรคพืชหลายชนิดได้แก่ Pythium  ultimum, Phytopthora  palmivora, P. cinnamomi, Sclerotinia  sclerotiorum, Colletotrichum  lagenarium, Rhizoctonia  solani และแบคทีเรีย Escherichia  coli
                ราเอนโดไฟท์ที่สร้าง synnemata แยกได้จากกิ่งของกาฝากก่อดำ (Dufrenoya  sessilis) จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย ยับยั้งการเจริญของราโรคพืชหลายชนิดได้แก่ Phytophthora  palmivora, P. paracitica, Fusarium  oxysporum, Sclerotium  rolfsii และรา  Colletotrichum  capsici

synnemata endophytic fungus
บน PDA 20 วัน

SEM photomicograph of synnemata showing conidia and conidiophores

synemata endophytic fungus (centre)
vs Phytophthora palmivora

ความหลากหลายของรามูลสัตว์  จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง 

  Coprotus sp.1  (yellow)and Pilobolus (arrow)
Coprotus sp.2
Cercophora sp
Pilobolus  sp.

รามูลสัตว์เป็นราที่อาศัยอยู่ในมูลสัตว์ เป็นราที่ทนทานต่อน้ำย่อยในกระเพาะและสำไส้ของสัตว์ เมื่อสัตว์กินอาหารได้แก่ใบไม้ หรือวัสดุต่างๆที่มีราปนเปื้อน ราจะผ่านระบบทางเดินอาหาร มาอยู่ในมูลสัตว์ ได้เก็บตัวอย่างได้แก่ มูลเก้ง ช้าง และหมูป่า  จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง อ. ภูหลวง จ. เลย ในเดือนพฤศจิกายน 2551  อุณหภูมิ  9-12 oC  สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูง  มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร ถึงยอดสูงสุดของภูหลวง 1,571 เมตร   พบรา Discomycetes บนมูลเก้งจำนวน 3 ชนิด ได้แก่ รา Ascobolus , Saccobolus, Coprotus sp.1 และ Coprotus sp.2   พบรา Pyrenomycetes บนมูลช้างและเก้ง ได้แก่รา Cercophora, Chaetomium, Gelasinospora, Podospora, Sordaria และ Sporormiella  ส่วนรา Zygomycetes พบรา Pilobolus บนมูลเก้ง

เห็ดราที่ใช้เป็นอาหารของมนุษย์  เห็ดราที่มีสรรพคุณทางยาและอาหารเสริม และเห็ดราที่ใช้ทำสีย้อม

Filoboletus sp.
Ramaria sp.
Geastrum sp.

            เห็ดเป็นราชั้นสูงใน Class Basidiomycetes   เห็ดเจริญได้ในที่ชื้น บนใบไม้ผุ พบมากในป่า คณะผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างเห็ดจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง พบเห็ดที่น่าสนใจหลายชนิดดังภาพ   
อนงค์และคณะ (2551) ได้ศึกษารวบรวมความหลากหลายของเห็ดและราขนาดใหญ่ในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง ได้บรรยายลักษณะสำคัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ และชื่อภาษาไทยของของเห็ดแต่ละชนิด พร้อมทั้งแหล่งที่พบและข้อมูลการนำมาบริโภคเห็ดหลายชนิดที่เจริญบนขอนไม้สามารถนำมาสกัดเป็นสีย้อมไหมพรม ตัวอย่างเช่น Phaeolus schweinitzii  Trametes versicolor  และT. maxima  (Aphyllophorales) (Cedano et al., 2007)

   Trametes versicolor
Trametes maxima

ไหมพรมที่ย้อมสีจากเห็ด

ประโยชน์ของไลเคน
            ไลเคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการอยู่ร่วมกันระหว่าง สาหร่าย (algae) และรา (fungi) แบบพึ่งพาอาศัยกัน (symbiosis)  เจริญอยู่บนหิน (crustose lichen) บนกิ่งไม้ (foliose lichen, fruticose lichen) และบนดิน (squamulose lichen)  ไลเคนมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการ  อียิปต์โบราณนำเข้าไลเคน Evernia prunastri และ E. furfuracea เพื่อผสมแป้งทำขนมปัง เพื่อทำให้รสชาติดีขึ้น อินเดียใช้ Parmelia perlata ซึ่งภาษาพื้นเมืองเรียกว่า ราทาพู (rathapu) ผสมแกงกะหรี   ญี่ปุ่นใช้ไลเคน Endocarpon (Dermatocarpon) miniatum ซึ่งมีชื่อพื้นเมืองว่า อิวาทาเกะ (iwataka) ในการทำอาหารและส่งออกไปยังประเทศจีน (กัณฑรีย์, 2549;  Smith, 1975)      สรรพคุณในด้านสมุนไพรและยาชาวอียิปต์โบราณใช้ไลเคนเป็นส่วนประกอบของยาและสมุนไพร ได้มีการค้นพบโถที่บรรจุเมล็ดและส่วนของพืชต่าง ๆ รวมทั้งไลเคน Evernia furfuracea ที่มีอายุประมาณ 1700–1800  ปีก่อนคริสตกาล  (กัณฑรีย์, 2549)

squamulose lichen
Cladonia  homchantarae

crustose lichen
Pyrrhospora sp.

foliose lichen
Hypotrachyna adducta

fruticose lichen
Ramalina  sp.

             ไลเคนมีความหลากหลายและมนุษย์ได้นำมาสกัดสีต่างๆ ไลเคนที่รู้จักกันดีคือ Rocella tinctoria และ Rocella spp. ให้สีออชิลล์ (orchil) เป็นโทนสีม่วง ฝรั่งเศส และฮอลแลนด์ เป็นประเทศที่สกัดสีจากไลเคนและนำไปผลิตเป็นการค้า สีจากไลเคนใช้ย้อมเส้นใยจากสัตว์ เช่นขนสัตว์และไหมได้ดี แต่ย้อมเส้นใยจากพืช เช่น ฝ้าย ไม่ได้  (กัณฑรีย์, 2549) นอกจากนี้ยังมีไลเคนอีกหลายชนิดที่ให้สีย้อมต่าง ๆ เช่น  Lecanora tartarea, Parmelia saxatilis ให้สีแดง Parmelia omphalodes, Parmelia saxatilis ให้สีน้ำตาล  Haematomma ventosum, H. occineum ให้สีน้ำตาลแดง  Xanthoria parietina, Cetraria funlperium, Pertusaria melaleuca และ Usnea barbata ให้สีเหลือง Candellariella vutellina และ Xanthoria lychnea  ให้สีเหลืองซึ่งใช้ย้อมเทียนในพิธีทางศาสนา ในสวีเดน  นอกจากนี้ไลเคนยังสามารถใช้เป็นดัชนีบ่งบอกคุณภาพอากาศ  โดยใน ค.ศ. 1866 Nylander รายงานว่าไม่พบไลเคนเติบโตในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเนื่องจากกควันที่ปล่อยออกมาจากปล่องตามบ้านเรือนและอุตสาหกรรม จากการศึกษาพบว่า มลพิษมีผลต่อการดำรงชีวิต และการเจริญของไลเคน (Boonpragob et al., 1989) ดังนั้นไลเคนจึงใช้เป็นดัชนีบ่งบอกคุณภาพอากาศอย่างแพร่หลายในยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ (Greis, 1996; Huckby, 1993; Nash, 1974; Pilegaard, 1978; Boonpragob and Nash, 1990) รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งมักพบไลเคนเจริญบนลำต้นและกิ่งไม้ บนหิน ตามดินที่ชื้นในป่าและสวนผลไม้ (Boonpragob, 2004)

  
คณะผู้วิจัย :
เลขา  มาโนช1  อรอุมา  เพียซ้าย1  ธิดา เดชฮวบ1  กวินนาถ บัวเรือง2  จิตรา เกาะแก้ว1 อำนาจ เอี่ยมวิจารณ์1 และ เสียงแจ๋ว พิริยพฤนต์1
หน่วยงาน :
1ภาควิชาโรคพืช คณะเกษตร  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร. 02-5791026
2 ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
โทร. 02-3108416