ปัจจุบันเป็นยุคที่ชาวโลกได้เห็นประจักษ์ถึงปัญหาวิกฤติพลังงานและภาวะโลกร้อน (Climate Change) ได้อย่างชัดเจน การแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทนเป็นเรื่องเร่งร้อนสำหรับคนในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานทดแทนจากธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการปลดปล่อย (emission) ก๊าซเรือนกระจกออกมาสู่ชั้นบรรยากาศหรือพลังงานสีเขียว (green energy) ก็ยิ่งนับว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าสำหรับการดำเนินชีวิตในชีวาลัยนี้ มีพืชหลายชนิดที่ได้รับความสนใจศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อเป็นพลังงานทดแทน T.sebifera ก็เป็นหนึ่งในพืชพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพสูงในการแก้ปัญหาเหล่านั้น T.sebifera หรือ Triadica sebifera หรือ Sapium sebiferum (L) Roxb. มีชื่อสามัญว่า Chinese Tallow Tree ซึ่งได้รับชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ต้นศรีทอง” (อ้างใน ศิริและคณะ, 2551) เป็นพืชพลังงานทดแทนชนิดใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักและยังไม่มีการใช้ประโยชน์ในประเทศไทย ทั้งๆ ที่เป็นพืชพลังงานที่มีศักยภาพสูงในการเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล Scott et al. (2006) ศึกษาวิจัยเรื่อง Kinetic Study of Biodiesel Production from Chinese Tallow Tree Oil พบว่า “Triadica sebifera หรือ Chinese Tallow Tree นั้น มีเมล็ดสีขาวของผลที่สามารถนำมาสกัดได้สารสกัด ประมาณ 40% ของปริมาตร ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง รวมทั้งการผลิตเป็นไบโอดีเซลด้วย ประโยชน์หลักของ Triadica sebifera คือ เป็นสารขั้นต้นในการผลิตไบโอดีเซล ที่มีผลิตภาพด้านน้ำมันสูงต่อหน่วยพื้นที่ การปลูกในพื้นที่หนึ่งเฮกแตร์สามารถให้เมล็ดได้ประมาณ 12,500 กิโลกรัม ซึ่งสกัดเป็นน้ำมันได้ 5,500 กิโลกรัม ปริมาณน้ำมันที่ได้มากกว่าน้ำมันที่สกัดได้จากถั่วเหลืองถึง 15 เท่า ในสหรัฐฯ จึงมีการใช้น้ำมันของ T.sebifera ในการผลิตไบโอดีเซลอย่างกว้างขวาง น้ำมันจากเมล็ด ประกอบไปด้วย palmitic fatty acid คิดเป็น 50% รองลงมาคือ oleic, linoleic และ linolenic fatty acid ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการผลิตไบโอดีเซลได้” T.sebifera มีชื่อเรียกต่างๆ ดังนี้ Popcorn Tree, Florida Tree หรือ White Wax Berry มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Sapium sebiferum เป็นพืชในสกุล Euphorbiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศจีนและญี่ปุ่นและมีการนำไปปลูกในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ. 1776 เป็นพืชที่มีความทนทานในดินทุกประเภทและเติบโตเร็ว สามารถสูงได้ถึง 1.5 เมตรในปีแรก T.sebifera โดยทั่วไปมีอายุประมาณ 15-25 ปี แต่สามารถมีอายุยืนยาวได้ถึง 100 ปี เป็นพืชที่เติบโตได้ดีทั้งในที่ซึ่งมีแสงแดดจัดหรือมีร่มเงา ทนความแห้งแล้งในระดับปานกลาง ต้องการการรดน้ำในฤดูแล้ง เมล็ดสามารถแพร่กระจายไปได้โดยนก (David J. Bogler, 2000) สำหรับในประเทศไทย T.sebifera ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย แต่มีการปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระยะเวลาประมาณ 25 ปีมาแล้ว ซึ่งหากมีการศึกษาถึงการนำมาเพาะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์เป็นพืชพลังงาน ในการผลิตเป็น biodiesel จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาวิกฤติพลังงานที่รุนแรงอยู่ในปัจจุบันได้ ปัจจุบัน T.Sebifera หรือ Chinese Tallow Tree ที่ปลูกไว้ในประเทศไทยมีปัญหาในด้านการติดผลน้อย จึงได้เริ่มมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชชนิดนี้มากขึ้น
ในเบื้องต้นจากการที่ดอกเป็นส่วนที่สำคัญในการให้ผลผลิตของพืชและสามารถศึกษาต่อไปได้ในเรื่องของการติดผล จุฑามณีและคณะ (2551) จึงได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับลักษณะทางสัณฐานวิทยาของดอกของพืชชนิดนี้ พบว่า ต้นT.sebifera ซึ่งพืชใบเลี้ยงคู่ เป็นไม้ยืนต้นในสกุล Euphorbiceae แตกกิ่งก้านสาขาในระดับสูง แตกกิ่งมาก (deliquescent) กิ่งก้านแผ่ออกอย่างไม่เป็นระบบ ต้นมีความสูงจนถึง 15 เมตร (Bogler 2000 อ้างใน Norman Leonard, 2005) เริ่มออกดอกติดผลตั้งแต่อายุ 3-8 ปี ไปจนถึง 100 ปี (Duke 1983 อ้างใน Cheryl McCormick, 2005) จากการสำรวจข้อมูลในครั้งนี้กับต้นตัวอย่าง จำนวน 17 ต้นที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จ.เชียงใหม่ พบว่า ในหนึ่งต้นมีลำต้นย่อยแยกออกจากกันตรงโคนต้น 1-3 ลำต้น แต่ละลำต้นมีจำนวนกิ่งในช่วง 13-20 กิ่ง แต่ละกิ่งมีกิ่งย่อยๆ เฉลี่ย 200 กิ่งย่อย แต่ละกิ่งย่อยมีช่อดอกในช่วง 20-30 ช่อดอก ออกดอกปีละ 1 ครั้ง ดอกของต้น Chinese Tallow Tree เป็นดอกแบบช่อกระจะ (racemes type) ประเภทช่อเชิงลด (spike) เป็นช่อดอกที่มีแกนกลางเป็นแกนยาวไม่แยกสาขา มีฐานของกลุ่มดอกเรียงบนแกนกลางของช่อดอกสลับข้างกันไปจนถึงปลายช่อดอก แต่ละฐานมีกลุ่มดอกเพศผู้ แต่ละดอกมีก้านดอกแต่สั้นมาก ส่วนดอกเพศเมียอยู่ส่วนโคนของช่อดอก ช่อดอกมีลักษณะห้อยลง ในก้านหนึ่งๆ มีช่อดอก 2-4 ช่อดอก ช่อดอกกลางจะยาวที่สุด มี 1 ช่อดอก เป็นดอกเพศผู้ (staminate flowers) ทั้งหมด ช่อดอกที่อยู่เหนือช่อดอกตรงกลางขึ้นไปมีจำนวน 1-3 ช่อดอก เป็นช่อดอกที่มีทั้งดอกเพศผู้ (staminate flowers) และเพศเมีย (pistillate flowers) เป็นช่อดอกที่สั้นกว่าอยู่ในก้านเดียวกัน เป็นดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) แบบที่มีดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน (monoecious) จะมีการออกดอกเป็น 2 รอบ รอบที่1 จะเริ่มออกดอกประมาณเดือนมีนาคมจนถึงเมษายน ดอกรุ่นแรกนี้ในแต่ละก้านดอกจะมีทั้งช่อดอกที่มีแต่ดอกเพศผู้ (ช่อดอกตรงกลาง) และช่อดอกด้านข้างเหนือช่อดอกกลางขึ้นไปมีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมียในช่อดอกเดียวกันมีจำนวน 1-3 ช่อดอก ช่อดอกตรงกลาง (ดอกเพศผู้ทั้งหมด) จะค่อยทยอยบานประมาณเดือนมีนาคมและจะโรยไปก่อนในช่วงประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ช่อดอกที่มีดอกเพศเมียอยู่ด้วยจึงเริ่มบานในเวลาต่อมา (ประมาณกลาง-ปลายเดือนพฤษภาคม) จนเริ่มมีการติดผลในช่วงต้น-กลางเดือนมิถุนายน ดอกรอบที่2 เป็นช่อดอกที่ค่อยๆ ทยอยเกิดขึ้นหลังจากช่อดอกรุ่นแรกมีการติดผลแล้ว แต่เป็นช่อดอกที่สั้นกว่า และมีจำนวนก้านละ 1 ช่อดอก เป็นดอกเพศผู้ทั้งหมด
จากการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยาในดอกรอบแรกจำนวน 30 ช่อดอก ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) พบว่า ช่อดอกที่อยู่ตรงกลางของก้านดอกซึ่งมีดอกเพศผู้ทั้งหมด มีความยาวของช่อดอกอยู่ในช่วง 15-20 เซนติเมตร มีความยาวเฉลี่ย 17.31 เซนติเมตร ดอกเพศผู้มีลักษณะเป็นกลุ่ม (clusters) แต่ละกลุ่มเรียงสลับข้างกันไปจนถึงปลายช่อดอก มีจำนวนเฉลี่ย 52 กลุ่มดอกต่อช่อดอก ในแต่ละช่อดอกมีจำนวนดอกเพศผู้เฉลี่ย 372 ดอก สัดส่วนของดอกเพศเมียมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับดอกเพศผู้คิดเป็นสัดส่วนดอกเพศเมียต่อดอกเพศผู้ในช่อดอกที่มีทั้งสองเพศเท่ากับ 7 : 160 ดอก ช่อดอกที่มีดอกทั้งสองเพศ ยาวเฉลี่ย 14.1 เซนติเมตร ตรงโคนของช่อดอกจะมีดอกเพศเมีย จำนวนเฉลี่ย 7 ดอกต่อช่อดอก มีดอกเพศผู้อยู่ถัดจากดอกเพศเมียลงไป ดอกเพศผู้มีลักษณะเป็นกลุ่ม (clusters) แต่ละกลุ่มเรียงสลับข้างกันไปจนถึงปลายช่อดอก มีจำนวนเฉลี่ย 25 กลุ่มต่อช่อดอก ในแต่ละช่อดอกมีจำนวนดอกเพศผู้เฉลี่ย 159 ดอก
จากการนำตัวอย่างดอกซึ่งเป็นดอกเพศผู้จำนวน 10 ดอก และดอกเพศเมียจำนวน 6 ดอก มาศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่า ดอกเพศผู้ยาวเฉลี่ย 3.8 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลีบดอกเฉลี่ย 1.2 มิลลิเมตร มีส่วนประกอบของดอก คือ กลีบเลี้ยง (sepal) ของดอกเพศผู้จะอยู่รอบๆ กลุ่มดอกบนฐานที่ติดอยู่กับก้านช่อดอก มีสีเขียวเข้มตรงโคนและสีค่อยๆ จางขึ้นไปจนถึงปลายกลีบ มีวงกลีบเลี้ยงแบบเชื่อมติดกัน (synsepalus calyx) ในวงกลีบเลี้ยงจะมีกลุ่มของดอกเพศผู้อยู่ตรงกลาง จำนวนเฉลี่ย 9 ดอก กลีบดอก (petal) มีสีเหลืองอมเขียว มีวงกลีบดอกแบบเชื่อมติดกันเป็นหลอดกลีบดอก (gamopetalous หรือ corolla tube) ส่วนปลายของกลีบดอกแยกออกเป็นแฉกหรือเป็นพู จำนวน 4-5 แฉก แต่ละดอกจะมีเกสรเพศผู้ (stamen) อยู่ตรงกลางของหลอดกลีบดอก จำนวน 2-3 เกสร เชื่อมติดอยู่กับฐานรองดอก (receptacle) ก้านชูอับเรณู แต่ละอันในดอกเดียวกันมีความยาวใกล้เคียงกันทั้ง 3 ก้าน ตรงส่วนปลายแต่ละก้านมีอับเรณู (anther) จำนวน 1 อัน ปลายของก้านชูอับเรณูติดกับฐานด้านล่างซึ่งอยู่ตรงส่วนปลายข้างหนึ่งของแต่ละอับเรณู โดยอับเรณูมีลักษณะห้อยลงอับเรณูมีสีเหลืองและมี 2 พู ส่วนดอกเพศเมีย มีลักษณะเป็นรูปวงรี ส่วนบนและส่วนล่างแคบเรียวกว่าตรงกลาง มีก้านเกสรเพศเมียอยู่ส่วนปลายสุด เส้นผ่านศูนย์กลางของดอกเฉลี่ย (ส่วนที่กว้างที่สุด) 2 มิลลิเมตร มีความยาวรวมของดอกเฉลี่ย 9 มิลลิเมตร ด้วยลักษณะที่มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบจึงเป็นดอกประเภทดอกใต้รังไข่ หรือ hypogynous flower มีส่วนประกอบของดอก คือ กลีบเลี้ยง (sepal) ของดอกเพศเมียจะอยู่รอบๆ ส่วนล่างสุดของดอกติดกับฐานรองดอก มีจำนวน 2-3 กลีบ ยาวเฉลี่ย 1.5 มิลลิเมตร กว้างเฉลี่ย 0.5 มิลลิเมตร มีสีเขียวอ่อนตรงปลายของแต่ละกลีบมีสีเหลือง กลีบเลี้ยงมีรูปร่างเรียวยาวเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ส่วนโคนของกลีบกว้างและส่วนปลายเรียวแหลมขอบของกลีบเลี้ยงเป็นรอยหยัก มีวงกลีบเลี้ยงแบบแยกจากกันโดยอิสระ (polysepalous calyx) โคนของกลีบเลี้ยงแต่ละกลีบจะเชื่อมติดกันตรงส่วนล่างของดอกซึ่งเชื่อมต่อกับฐานรองดอกแบบจรดกัน (valvate) กลีบดอก (petal) เพศเมีย มีสีเขียวอมเหลืองขอบของแต่ละกลีบเป็นสีเหลือง มีจำนวน 3 กลีบ ความยาวของกลีบเฉลี่ย 2.5 มิลลิเมตร กว้างเฉลี่ย 0.5 มิลลิเมตร มีวงกลีบดอกแบบแบบแยกจากกันโดยอิสระ (polypetalous calyx) กลีบดอกมีรูปร่างเรียวยาวเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ส่วนโคนของกลีบกว้างและส่วนปลายเรียวแหลม ขอบเป็นรอยหยัก แต่ละดอกจะมีเกสรเพศเมีย (pistil) จำนวน 3 เกสร แต่ละเกสรมี 1 คาร์เพล เกสรเพศเมียแต่ละอันประกอบด้วย รังไข่ ก้านเกสรเพศเมีย และยอดเกสรเพศเมีย โดยรังไข่ (ovary) อยู่ติดกับฐานดอก แต่ละดอก มี 3 รังไข่ อยู่ในเกสรละ 1 รังไข่ แต่ละรังไข่มี 1 ovule เป็นรังไข่ที่อยู่เหนือวงกลีบดอก (superior ovary) มีความยาวเฉลี่ย 1 มิลลิเมตร กว้างเฉลี่ย 0.5 มิลลิเมตร มีสีเขียว ช่องว่างภายในแต่ละรังไข่มีรูปร่างเป็นวงรี มี ovule อยู่ภายใน ovule มีสีเหลือง รูปร่างเป็นก้อนวงรี มีความยาวเฉลี่ย 0.5 มิลลิเมตร กว้างเฉลี่ย 0.2 มิลลิเมตร ยอดเกสรเพศเมีย (stigma) มีทั้งหมดจำนวน 3 ยอด อยู่ในส่วนปลายสุดของก้านเกสรเพศเมียแต่ละก้าน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ อยู่ด้านบนของปลายก้านเกสรเพศเมีย (ด้านที่ม้วนออก) มีสีเขียว จัดเป็น capitate stigma ผลจากการสังเกต พบว่า ดอกของ T.sebifera มีสัตว์จำพวกผึ้ง มิ้ม ฯลฯ เป็นผู้ผสมเกสร (pollinator) สอดคล้องกับรายงานของ USDA- NRCS (United States Department of Agriculture-Natural Resources Conservation Service, มปป. อ้างใน http://plants.usda.gov, 2007) ที่กล่าวว่า น้ำหวานในดอกของ Chinese Tallow Tree เป็นอาหารที่โปรดปรานของผึ้ง (honeybees) จากผลการศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าหากจะแก้ปัญหาการติดผลของ T.sebiferum ในเมืองไทยควรเน้นไปที่สัดส่วนเพศดอก และจากการที่ดอกมีธรรมชาติของการผสมเกสรระหว่างดอกหรือระหว่างต้นเพื่อรักษาลักษณะทางพันธุกรรม จะเห็นได้จากช่วงเวลาในการบานของดอกที่แตกต่างกัน ผู้ผสมเกสร (pollinator) จึงมีความสำคัญมากต่อการติดผล ดังนั้นควรต้องรักษาระบบนิเวศให้สมดุลและไม่ควรใช้สารเคมีในการฆ่าแมลง ซึ่งจะทำให้แมลงต่างๆ ที่ช่วยในการผสมเกสร เช่น ผึ้ง มิ้ม ฯลฯ มีจำนวนลดลง สภาพแวดล้อมในพื้นที่ปลูกก็มีความสำคัญ เช่น ฝน ความชื้น ซึ่งจะทำให้การผสมเกสรไม่ได้ผล จึงควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีภูมิอากาศเหมาะสม
T.sebifera นับว่าเป็นพืชพลังงานชนิดใหม่ที่เป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่รอคอยการขุดค้นด้วยองค์ความรู้ด้านต่างๆ และนำศักยภาพของมันมาใช้ประโยชน์ให้เกิดเป็นแหล่งพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสีเขียว (green energy) ของมวลมนุษย์ต่อไปในอนาคต
|
 |
รูปที่ 1 ช่อดอก มีลักษณะช่อดอกแบบ racemes |
รูปที่ 2 ลักษณะลำต้นและเรือนพุ่มต้นที่มีอายุ 25 ปี |
 |
 |
รูปที่ 3 ใบและผลอ่อน |
รูปที่ 4 ลักษณะสัณฐานวิทยาของดอกเพศผู้ |
 |
 |
รูปที่ 5 ดอกเพศเมีย |
รูปที่ 6 ภาพตัดตามขวางของรังไข่ในดอกเพศเมีย |
|