การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการลอกกาวไหมด้วยเอนไซม์ธรรมชาติ โดยการเปรียบเทียบผลการลอกกาวไหมด้วยเอนไซม์ปาเปนจากมะละกอดิบ และการลอกกาวไหมด้วยเอนไซม์โบรมิเลนจากน้ำสับปะรด โดยวิธีการแช่หมักและการแช่หมักโดยเติม Wetting agent กับการลอกกาวไหมด้วยสารเคมี (โซเดียมคาร์บอเนต) โดยศึกษาผลการลอกกาวจากร้อยละของน้ำหนักที่สูญหาย ความรู้สึกสัมผัส และความขาวของเส้นใย โดยวิธีการดังนี้ หาน้ำหนักไหมดิบโดยนำเข้าอบด้วยเครื่องอบ (WTC binder) อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง นำไหมเข้าเครื่องดูดความชื้นนาน 90 นาที หรือจนกว่าค่าความชื้นคงที่ ชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งดิจิตอล จากนั้นนำไหมดิบไปลอกกาวด้วยมะละกอดิบและน้ำสับปะรด โดยใช้อัตราส่วนน้ำ:ไหมเท่ากับ 10:1 มะละกอดิบหรือน้ำสับปะรด 2 เท่าของน้ำหนักไหม แช่หมักโดยขยำทำความสะอาดเป็นระยะ ๆ นาน 30 นาที 60 นาที และ 90 นาที ล้างไหมด้วยน้ำให้สะอาด 5 ครั้ง ผึ่งให้แห้งสนิท ส่วนวิธีการลอกกาวโดยใช้สารเคมี ใช้อัตราส่วนน้ำ:ไหมเท่ากับ 30:1 โซเดียมคาร์บอเนต 5% ของน้ำหนักไหม Wetting agent 1% ของน้ำหนักไหม นำไหมดิบลงต้มที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที ล้างไหมด้วยน้ำให้สะอาด 5 ครั้ง ผึ่งไหมให้แห้งสนิท หาน้ำหนักไหมหลังการลอกกาวด้วยวิธีการเดียวกับการหาน้ำหนักก่อนการลอกกาว
ผลการทดลองพบว่า การลอกกาวไหมด้วยน้ำสับปะรดได้ผลดีกว่าใช้มะละกอ การลอกกาวด้วยเอนไซม์ธรรมชาติจะให้ผลดีกว่าเมื่อใช้ Wetting agent และการใช้เวลาที่นานกว่าจะให้ผลที่ดีขึ้น ทั้งนี้ผลการลอกกาวด้วยสารเคมี น้ำสับปะรดและมะละกอดิบ โดยมี Wetting agent ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละน้ำหนักที่สูญหาย 22.480, 10.803, 13.820 ตามลำดับ จากผลการทดลองสามารถสรุปได้ว่า การใช้เอนไซม์จากธรรมชาติสามารถลอกกาวไหมได้ ทั้งนี้การเพิ่มระยะเวลาในการแช่หมักจะเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการลอกกาวไหมได้ดียิ่งขึ้น และหากมีการเปลี่ยนการลอกกาวไหมด้วยสารเคมีซึ่งต้องใช้ความร้อนจากไม้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง มาเป็นการใช้เอนไซม์จากธรรมชาติแล้ว ย่อมสามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม กล่าวคือ การใช้เอนไซม์เป็นวิธีการแช่หมักไม่ใช้ความร้อนทำให้ไม่เพิ่มอุณหภูมิของโลก อีกทั้งการใช้ไม้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงเป็นการทำลายทรัพยากรป่าไม้ นอกจากนี้กระบวนการลอกกาวด้วยเอนไซม์ไม่มีสารเคมีเหลือทิ้งจากกระบวนการลอกกาว ทำให้ลดการก่อมลพิษทางน้ำและดิน ซึ่งเป็นทรัพยากรสนับสนุนการเจริญเติบโตของทรัพยากรป่าไม้และเกษตรกรรม ซึ่งป่าไม้เป็นปัจจัยสำคัญในการลดอุณหภูมิของโลกและดูดซับมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจกต้นเหตุของภาวะโลกร้อน
|
อาจารย์ศรันยา เกษมบุญญากร |
|
|
นางสาวทักษอร แซ่ยุ้ง |
นางสาววรวรรณ รุ้งแสงเจริญทิพย์ |
|
|
นางสาวทักษอร แซ่ยุ้ง |
นางสาววรวรรณ รุ้งแสงเจริญทิพย์ |
|