การเลี้ยงกุ้งแบบนี้เหมาะสมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคกลางซึ่งเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากมีอาชีพเลี้ยงปลาสลิดหรือปลานิลมาก่อน โดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติ ที่มีความเค็มบางฤดูกาล เป้าหมายของการผลิตเพื่อให้มีรายได้เพียงพอสำหรับครอบครัว การเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมในอัตราความหนาแน่นต่ำร่วมกับการเลี้ยงปลา จะให้อาหารเฉพาะปลาเท่านั้น ส่วนกุ้งขาวแวนนาไมจะอาศัยอาหารธรรมชาติในบ่อ ในระหว่างการ
เลี้ยงจะทยอยจับกุ้งที่มีขนาดใหญ่ โดยใช้การลากอวนหรือใช้ลอบจับกุ้ง ส่วนปลาจะจับเพียงครั้งเดียว เมื่อสิ้นสุดการเลี้ยงซึ่งใช้เวลานานประมาณ 6-7 เดือน จะได้ปลาที่มีขนาดใหญ่เช่นเดียวกับการเลี้ยงปลาตามปกติ ผลผลิตจากกุ้งขาวเกษตรกรส่วนใหญ่จะนำไปขายในตลาดท้องถิ่นซึ่งรายได้จากการขายกุ้งจะมากกว่าการขายปลาทำให้มีรายได้รวมมากกว่าการเลี้ยงปลาเพียงอย่างเดียว
ข้อสำคัญ ควรสร้างอาหารธรรมชาติก่อนปล่อยลูกกุ้งขาวระยะไม่ต่ำกว่าโพสลาร์วา 12 (พี 12) ที่ผ่านการปรับความเค็มมาแล้วใกล้เคียงกับน้ำในบ่อเลี้ยง ปล่อยลูกปลานิลแปลงเพศ 1 สัปดาห์หลังจากปล่อยลูกกุ้ง ควรมีเครื่องให้อากาศ 1 เครื่องเพื่อป้องกันการขาดออกซิเจนในบางช่วงเวลา การใช้ลอบจับกุ้งจะลดปัญหาการฟุ้งกระจายของตะกอนพื้นบ่อได้ดีกว่าการลากอวน หลังจากการเลี้ยงแต่ละรอบควรตากบ่อให้เพียงพอเพื่อบำบัดเลนตะกอนพื้นบ่อ ก่อนการเลี้ยงรอบต่อไป
2.) การเลี้ยงกุ้งด้วยน้ำความเค็มต่ำ
การเลี้ยงกุ้งด้วยน้ำความเค็มต่ำจะต้องใช้ระบบน้ำหมุนเวียนโดยนำน้ำที่ระบายออกจากบ่อเลี้ยงในขณะที่จับกุ้งเก็บไว้ในบ่อพักน้ำ ซึ่งมีการเลี้ยงปลากินพืชเพื่อบำบัดอาหารที่หลงเหลืออยู่ก่อนที่จะนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ควรจะมีคูน้ำจืดล้อมรอบฟาร์ม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของความเค็มออกสู่ภายนอก ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงกุ้งด้วยน้ำความเค็มต่ำสามารถเลี้ยงได้กุ้งขนาดใหญ่ถ้า
อัตราการปล่อยลูกกุ้งไม่หนาแน่น มีการเติมแร่ธาตุในระหว่างการเลี้ยงอย่างเหมาะสมและมีบ่อพักน้ำอย่างเพียงพอ
การเลี้ยงกุ้งด้วยน้ำความเค็มต่ำ
ข้อสำคัญ ลูกกุ้งจะต้องผ่านการปรับความเค็มลงมาให้ใกล้เคียงกับความเค็มของน้ำในบ่อเลี้ยงและต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่าระยะพี 12 สำหรับกุ้งขาวแวนนาไม และระยะพี 15 สำหรับกุ้งกุลาดำ
3.) การเลี้ยงกุ้งร่วมกับสาหร่ายไส้ไก่
แนวทางการเลี้ยงกุ้งร่วมกับสาหร่ายไส้ไก่ สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้มากเนื่องจากไม่มีการให้อาหารในระยะแรกจนกว่าสาหร่ายไส้ไก่ในบ่อมีน้อยมากหรือกุ้งเริ่มวนหาอาหาร การเลี้ยงกุ้งวิธีนี้เกษตรกรสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่าย กุ้งกุลาดำหรือกุ้งขาวที่เลี้ยงร่วมกับสาหร่ายไส้ไก่มีอัตราการรอดตาย และการเจริญเติบโตดี การเลี้ยงกุ้งวิธีนี้เหมาะสมกับพื้นที่หรือบริเวณที่มีสาหร่ายไส้ไก่เกิดขึ้นตาม
ธรรมชาติ และควรจะเลี้ยงกุ้งในอัตราความหนาแน่นไม่สูงมากแต่สามารถผลิตกุ้งขนาดใหญ่ได้
การเลี้ยงกุ้งร่วมกับสาหร่ายไส้ไก่
ข้อสำคัญ บ่อที่จะเลี้ยงด้วยวิธีนี้ไม่ควรนำเลนออกจากบ่อ หลังจากการเลี้ยงแต่ละรอบจะทำให้สาหร่ายไส้ไก่เจริญเติบโตดีซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30-40 วัน จะมีสาหร่ายประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บ่อก่อนปล่อยลูกกุ้ง
4.) การผลิตกุ้งขาวแวนนาไมขนาดใหญ่
การผลิตกุ้งขาวขนาดใหญ่มีความเหมาะสมในพื้นที่มีน้ำความเค็มปกติมากกว่าการเลี้ยงด้วยน้ำความเค็มต่ำ อัตราความหนาแน่นในการปล่อยลูกกุ้งขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงที่แตกต่างกันไปแต่ละฟาร์มต้องให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพลูกกุ้งเป็นพิเศษ เพราะลูกกุ้งที่มีคุณภาพดีมีผลต่อความสำเร็จอย่างมาก ในการเลี้ยงกุ้งขาวเพื่อให้ได้ขนาดใหญ่ต้องใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงนาน ดังนั้นการจัดการในเรื่องคุณภาพน้ำโดยเฉพาะปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ และสภาพพื้นบ่อต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมตลอดระยะเวลาในการเลี้ยงรวมทั้งต้องมีระบบป้องกันโรคอย่างดีด้วย
การผลิตกุ้งข้าวแวนนาไมขนาดใหญ่
ข้อสำคัญ กุ้งขาวที่สามารถจะเลี้ยงเป็นกุ้งขนาดใหญ่ได้เมื่ออายุ 60 วัน ควรจะมีน้ำหนักประมาณ 8-10 กรัม
5.) การเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมในอัตราความหนาแน่นสูงเพื่อย้ายบ่อ
เนื่องจากในระหว่างการเลี้ยงแต่ละรอบ
เกษตรกรไม่สามารถจะประเมินราคากุ้งล่วงหน้าได้
ดังนั้นวิธีการปล่อยลูกกุ้งในอัตราความหนาแน่นสูงเผื่อไว้ก่อน ถ้ากุ้งขนาดเล็กราคาดีก็ผลิตกุ้งขนาดเล็ก ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงไม่นานมาก แต่ถ้าราคาไม่ดีก็แบ่งกุ้งย้ายไปเลี้ยงในบ่อใหม่เพื่อให้ได้กุ้งขนาดใหญ่ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีเหตุผลและสามารถลดความเสี่ยงได้เช่นเดียวกัน
การเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมในอัตราความหนาแน่นสูงเพื่อย้ายบ่อ
ข้อสำคัญ ก่อนจะย้ายกุ้งควรปรับคุณภาพน้ำในบ่อใหม่ให้ใกล้เคียงกับบ่อเดิม ควรย้ายกุ้งในขณะที่กุ้งมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ย้ายกุ้งในขณะหรือเพิ่งลอกคราบ ในขณะที่ย้ายกุ้งปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำต้องอยู่ในระดับที่สูงและอากาศไม่ร้อนจัด ถ้ากุ้งมีกล้ามเนื้อขาวขุ่นให้หยุดการย้ายกุ้งทันที
ในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำหรือกุ้งขาวแวนนาไมด้วยวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ถ้าใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งมั่นอยู่ในความพอเพียงหรือทางสายกลาง โดยใช้เหตุผลและมีระบบการเลี้ยงที่สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้จะทำให้การเลี้ยงกุ้งประสบความสำเร็จ ส่งผลต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่น ทำให้คุณภาพของประชาชน สังคม และสิ่งแวดล้อมมีความสมดุล ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งของประเทศไทยมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป