
ประธานศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ได้นำชุมชนเข้าร่วม “โครงการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมกับทำงานร่วมกับชุมชนโดยใช้ประสบการณ์จากการเป็นวิทยากรบรรยายตามที่ต่างๆ ผนวกกับประสบการณ์ที่เคยทำงานหลากหลายอาชีพ ทำงานด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นจนได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นไม่ดูแลคนในชุมชน แต่คนในชุมชนสามารถช่วยเหลือกันเองได้จนกลุ่มมีความเข้มแข็ง ชุมชนก็จะประสบความสำเร็จได้ ถึงแม้จะไปช้าๆ แต่ก็ไปได้อย่างมั่นคง
ปัจจุบัน ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลเจดีย์หัก ประสบความสำเร็จได้รับรางวัล“สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2550” ได้รับพระราชทานโล่รางวัลจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2550
สาเหตุแห่งหนี้สินของการทำการเกษตร
สาเหตุแห่งหนี้สินของชาวบ้านชุมชนตำบลเจดีย์หัก คุณวลิตได้สรุปไว้ดังนี้
1. ผู้คนหลงใหลไปกับกระแสโลกาภิวัฒน์ เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก หนี้สินจริงๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากภาคเกษตร แต่เป็นหนี้สินที่เกิดขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ต่างๆ และมีการนำเงินในอนาคตมาใช้กันมากขึ้น
2. สังคมเสื่อมเพราะขาดคุณธรรม จริยธรรม อาทิ เรื่องของการแต่งงานก่อนวัยอันสมควร และการที่ครอบครัวคอยช่วยเหลือลูกอยู่ตลอดเวลา ไม่สนับสนุนให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง ทำให้เกิดภาวะหนี้สินเพิ่มมากขึ้น
3. มีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้เกินความจำเป็น เช่น มีตู้เย็น 2 เครื่อง ทีวี 2 เครื่อง มอเตอร์ไซด์บ้านละ 3 คัน แล้วไม่ได้ใช้ ส่วนคอมพิวเตอร์ ควรจะมีไว้เพื่อใช้สำหรับศึกษา เรียนรู้ แต่กลับมีการเปิดร้านเกมส์ให้เด็กภายในหมู่บ้าน เพื่อใช้สำหรับเล่นเกมส์
4. ระบบเงินผ่อน และการพนันกำลังเข้ามาในชุมชน เช่น โทรศัพท์มือถือ มีคนนำมาขายถึงที่บ้าน แล้วให้เงินผ่อน ส่วนเรื่องการพนัน ขณะนี้เริ่มมีประเภทพวกไพ่ น้ำเต้า ปู ปลา โต๊ะสนุ๊กเกอร์ เป็นต้น
ทำอย่างไรจึงหลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินได้ (ภาพรวม)
วิธีหลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินของชาวบ้านชุมชนตำบลเจดีย์หัก คือ
1. รวมกลุ่มกันด้วยความเข้มแข็ง ทำให้ความเป็นอยู่ของชุมชนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยการเรียนรู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดีไว้ใช้เอง การลดต้นทุนการผลิตโดยเปลี่ยนมาใช้อินทรีย์แทนการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี การสีข้าวจากโรงสีชุมชนของท้องถิ่นตนเอง และยังดำเนินธุรกิจจำหน่ายข้าวสารคุณภาพดีกันเองอีกด้วย
2. สมาชิกมีความกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพของตนเอง ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าสมาชิกทำได้จริง กลุ่มจึงเกิดขึ้นและเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น พร้อมที่จะก้าวต่อไปด้วยการบริหารจัดการของคนในชุมชนเอง
3.เชื่อมโยงกับหมู่บ้านอื่นๆ เพื่อร่วมมือแก้ไขปัญหา นอกจากที่คนในชุมชนจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องอาชีพ เรื่องของการเกษตร ปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองแล้ว ยังต้องมีการร่วมมือกันระหว่างหมู่บ้านเพื่อให้ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างลุล่วงต่อไป
หลักคิดและวิธีปฏิบัติที่ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินและอยู่ได้อย่างยั่งยืน
คุณวลิตได้กล่าวถึงหลักคิดและวิธีปฏิบัติที่ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้สินและอยู่ได้อย่างยั่งยืนของกลุ่มเกษตรกรชุมชนตำบลเจดีย์หัก มีดังนี้
1. ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี
สมาชิกในกลุ่มต้องเรียนรู้การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวจากศูนย์ฯ แล้วต่อไปต้องผลิตเมล็ดพันธุ์เก็บไว้ใช้เอง เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องไปซื้อหาเมล็ดพันธุ์จากภายนอก อีกทั้งยังได้เมล็ดพันธุ์ดีไว้ใช้เองและจำหน่ายให้กับชุมชนอีกด้วย
2. วางแผนเรื่องการผลิตและการตลาด พร้อมสร้างมาตรฐานการผลิตข้าวให้เป็นที่ยอมรับ
การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี กลุ่มได้วางแผนเรื่องของการผลิตและการตลาด โดยได้สำรวจตลาดคือแบ่งเป็นส่วนหนึ่งจะผลิตเมล็ดพันธุ์ให้กับรัฐ ส่วนหนึ่งจะจำหน่ายชุมชน นอกจากนี้ยังมีการนำผลผลิตเข้าสู่กระบวนการแปรรูปข้าวสารที่รักษามาตรฐานไว้ให้เป็นที่ยอมรับของตลาด
3.ใช้พื้นที่และเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ชุมชนได้มีการใช้พื้นที่ที่ไม่ได้ทำนาหรือพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเน้นการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ โดยได้มีการประสานการทำงานร่วมกับทหารเพื่อขุดบ่อน้ำ และแก้ไขระบบน้ำโดยการทำประตูน้ำ ซึ่งในอนาคตจะได้มีการทำตลาดชุมชนเพื่อจำหน่ายอาหารปลอดสารพิษ
4. ลดการใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีเพื่อลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อม
การที่ชุมชนเปิดรับข่าวสารเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้เรียนรู้และยอมรับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ใช้การหมักฟางข้าวแทนการเผาฟางข้าว ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ไปได้มาก ซึ่งเมื่อก่อนทำนา 3 ครั้ง ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมีมากเกินไป และไม่มีเวลาทำในเรื่องของบัญชี จึงไม่ทราบค่าใช้จ่าย ทำให้มีหนี้โดยไม่รู้ตัว
5. มีโรงสีชุมชนไว้สีข้าว ทำให้ได้ข้าวคุณภาพดี บริโภคในชุมชนกันเอง
ที่ชุมชนแห่งนี้ มีโรงสีชุมชนไว้บริการสีข้าวให้กับสมาชิกภายในชุมชน ทำให้สมาชิกได้บริโภคข้าวสารคุณภาพดี ปลอดสารพิษ ไม่เสียเงินค่าบริการสีข้าว ส่วนโรงสีชุมชนจะได้ข้าวท่อน ปลายข้าว รำละเอียด รำหยาบ และแกลบ จำหน่ายเป็นรายได้ของกลุ่ม
6. สมาชิกต้องเรียนรู้เรื่องการตลาด/การจำหน่ายข้าวด้วยตนเอง
ปัญหาการจำหน่ายข้าวของชุมชน เป็นปัญหาการตลาดที่ชุมชนต้องเรียนรู้และแก้ไขปัญหากันด้วยตนเอง ตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ ต้องให้ได้ความบริสุทธิ์ ความชื้น และความงอกตามที่กำหนด การแปรรูป และการจำหน่ายไปตามจังหวัดต่างๆ ต้องมีการวางแผนการผลิต การแปรรูป และการสำรอง
สต๊อคข้าวไว้จำหน่ายให้เพียงพอ ซึ่งคุณวลิตได้ให้สมาชิกเรียนรู้กันด้วยตนเองเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
7. ออมทรัพย์เพื่อปลดหนี้ พร้อมมีสวัสดิการต่างๆ สร้างความอุ่นใจให้สมาชิก
สมาชิกได้มีการระดมทุน เช่น การออมทรัพย์เพื่อปลดหนี้ ให้สมาชิกกู้เงินโดยเสียดอกเบี้ยร้อยละ 2 ดอกเบี้ยที่ได้ส่วนหนึ่งถูกแบ่งไปเป็นสวัสดิการให้กับสมาชิก สามารถเบิกเงินได้ ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเสียชีวิตก็ยังมีเงินช่วยเหลือ ซึ่งดีกว่าการที่สมาชิกออกไปกู้เงินจากข้างนอก
8. ต้องทำงานทดแทนบุญคุณแผ่นดิน
หลักคิดในการทำงานของคุณวลิต คือ “ต้องทำงานทดแทนบุญคุณแผ่นดิน” ทุกวันนี้ที่เราอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้อย่างมีความสุข เราได้ช่วยเหลืออะไรให้กับสังคมบ้าง สังคมก็คือแผ่นดิน วันนี้ทุกคนที่อยู่ในผืนแผ่นดินนี้ติดหนี้แผ่นดินทั้งนั้น ถ้าวันนี้คนไทยหันกลับมาทำงานทดแทนบุญคุณแผ่นดินกันคนละอย่าง เมืองไทยจะมีความสุขมากที่สุดในโลก และขณะนี้คุณวลิตกำลังทดแทนบุญคุณแผ่นดินโดยการพิสูจน์ให้เห็นว่าชุมชนสามารถรวมกลุ่มกันได้ มีความเข้มแข็งได้ ถ้าชุมชนเดินทางถูก คิดถูก คิดเป็น ทำเป็น ทุกคนก็จะร่วมมือกันทดแทนบุญคุณแผ่นดินได้
การเตรียมความพร้อมในการประกอบอาชีพเกษตรให้ลูกหลาน/เกษตรกรรุ่นใหม่
วิธีการเตรียมความพร้อมในการประกอบอาชีพเกษตรให้ลูกหลาน/เกษตรกรรุ่นใหม่ของคุณวลิต ได้แก่
1. ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง
คุณวลิตจะสอนนิสิตที่มาฝึกงานทุกๆ คนว่า อย่ายึดติดความเป็นตัวตน จะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้นึกถึงว่า เรายืนอยู่บนผืนแผ่นดินได้อย่างมีความสุข ก็ด้วยคนรุ่นก่อนๆ ได้ทำมา วันนี้เราจะทำอะไรตอบแทนเขาได้บ้าง ทั้งในด้านครอบครัวและด้านสังคม สิ่งที่สำคัญคือ ต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง อย่ามีข้ออ้างว่าทำอย่างนี้ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เพราะเรารู้ตัวอยู่แล้วว่าสิ่งที่เราทำถูกหรือผิด
2. ต้องช่วยเหลือคนอื่นด้วยความจริงใจ
ทุกคนต้องให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน โดยการอธิบาย ชี้แนะในสิ่งที่ถูกต้อง คุณวลิตจะใส่ข้อคิดต่างๆ ให้ทุกคนเข้าใจว่า สิ่งที่เราทำวันนี้ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง เราทำเพื่อสังคม ถ้าสังคมดี เราก็จะอยู่อย่างมีความสุขเช่นกัน
3. การเป็นนักส่งเสริมที่ดีต้องหาแก่นแท้ของชุมชนให้เจอ
คุณวลิตบอกกับทุกๆ คนว่า เวลาที่ไปเป็นนักส่งเสริม ต้องหาความพร้อมของชุมชน หาแก่นแท้ของชุมชน หาจุดอ่อน จุดแข็งของชุมชนให้เจอ แต่ละชุมชนต้องมีเพชรเม็ดหนึ่งซ่อนอยู่ ต้องหาให้เจอ ให้มาเป็นแสงสว่างของชุมชนได้ ในการที่จะเข้าไปเป็นนักส่งเสริม การที่จะเข้าไปทำงานในชุมชน ถือเป็นการชดใช้บุญคุณแผ่นดิน ก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด
4. ต้องมีความกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ และอย่ากลัว...เพราะความกลัวทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้
คุณวลิตจะสอนให้ทุกคนกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ และให้มั่นใจตัวเอง แต่อย่าเชื่อใจตัวเอง เพราะหลักที่เราทำ คิด เป็นบทพิสูจน์ให้เราเห็นว่า มันทำได้จริงไหม แก้ไขได้จริงไหม ถูกต้องไหม หรือเดินมาถูกทางไหม ทุกอย่างอย่ากลัว ถึงแม้การทำงานตรงนี้จะไม่ถูกต้องทุกอย่าง แต่มันจะเป็นบทเรียนให้เราสามารถกลับมาแก้ไขได้ คือการที่เราคิดอะไรแล้วเรากลัว ไม่กล้าทำ ก็ไม่เกิดการเรียนรู้ ซึ่งไม่มีประโยชน์
แนวทางและวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาชีพเกษตร
คุณวลิต มีแนวทางและวิธีการสร้างความเข้มแข็งให้กับอาชีพเกษตรให้กับชาวชุมชนตำบลเจดีย์หัก ดังนี้
1. เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารงานแทน
ขณะนี้คุณวลิตวางแผนที่จะเริ่มถอยตนเองออกมาให้ชุมชนดูแลกันเอง เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารจัดการ โดยคุณวลิตจะเป็นคนตรวจสอบแทน
2. สร้างระบบการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้
สิ่งสำคัญที่กลุ่มจำเป็นต้องมีในขณะนี้คือ การตรวจสอบ เพราะขณะนี้ศูนย์รวมเงินอยู่ที่คุณวลิตเพียงคนเดียว และสมาชิกก็ไม่ได้เข้ามาดู ไม่ได้เข้ามาตรวจสอบ เขาเลยไม่ทราบ ปีนี้คุณวลิตจึงต้องถอยลงมาเพื่อลงมาจัดระบบการทำงานที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
3. สร้างลูกหลานรุ่นใหม่ให้รักชุมชน โดยค่อยๆ ปลูกถ่ายแนวความคิดรักท้องถิ่น รักวัฒนธรรม
ในขณะเดียวกันคุณวลิตต้องการสร้างเด็กรุ่นใหม่ขึ้นมาสืบทอดความคิดรักชุมชน รักท้องถิ่น โดยให้เด็กซึมซับความรักท้องถิ่นโดยธรรมชาติอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือข้อต่อรองใดๆ เช่น เมื่อไปทำงานที่ไหนก็ตาม ขอให้กลับมาช่วยทำงานให้ท้องถิ่นสักวันหนึ่ง ให้เขาได้ถ่ายทอดประสบการณ์จริงๆ สู่รุ่นน้อง ก็จะเป็นสายเลือดที่เกิดความรักถิ่นอย่างแท้จริงและทำให้เกิดการพัฒนาอย่างจริงจังต่อไป
แนวทางและวิธีการสร้างเครือข่ายของกลุ่มอาชีพเกษตร
แนวทางและวิธีการสร้างเครือข่ายของกลุ่มอาชีพเกษตรของคุณวลิต มีดังนี้
1. สร้างศูนย์รวมจิตใจ “แม่โพสพ” ของชาวนาจังหวัดราชบุรี
การสร้างศูนย์รวมจิตใจ “แม่โพสพ” ของชาวนา เป็นการนำเรื่องของจิตวิญญาณเข้ามาเชื่อมโยงในการยึดเหนี่ยวจิตใจของส่วนรวม เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยชุมชน โดยชาวนาเอง โดยเกษตรกรเอง เป็นการประสานเครือข่ายซึ่งสามารถเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นทั้งจังหวัดได้
2. สร้าง “ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดราชบุรี” เพื่อเป็นต้นแบบ นำไปสู่การเรียนรู้และขยายเครือข่ายสู่จังหวัดอื่นๆ
แนวคิดการขยายเครือข่ายด้านการเกษตร โดยการสร้าง “ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดราชบุรี” เป็นตัวเชื่อมโยงเครือข่ายตามอำเภอต่างๆ ในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดอื่นๆ เพื่อเป็นต้นแบบการเรียนรู้ ซึ่งจะทำหลังจากช่วงปลายปีที่สร้างแม่โพสพเสร็จแล้ว
3. สร้าง “พิพิธภัณฑ์องค์ความรู้ด้านการเกษตรของจังหวัดราชบุรี” รวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่นเชื่อมโยงต่อจากการสร้างศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว
หลังจากที่สร้างศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดราชบุรี เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการเกษตรแล้ว ต่อจากนั้นจะเชื่อมโยงองค์ความรู้ต่างๆ ในท้องถิ่น โดยนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาสร้าง “พิพิธภัณฑ์องค์ความรู้ด้านการเกษตรของจังหวัดราชบุรี” ซึ่งเป็นการรวบรวมภูมิปัญญาที่อยู่ในแต่ละท้องถิ่น มาเผยแพร่ให้เด็ก เยาวชน และคนทั่วไปได้เรียนรู้ เช่น ผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ ความรู้ในเรื่องของสีจากเปลือกไม้ รากไม้ ต้นไม้ที่เป็นยา เครื่องจักสาน วัฒนธรรมท้องถิ่นในเรื่องของหมอทำขวัญ เพลงพื้นบ้าน การขอขมาแม่โพสพ และการรับขวัญท้องข้าว เป็นต้น
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อย
ข้อเสนอแนะสำหรับผู้กำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยของคุณวลิต มีดังนี้
1. รัฐบาลต้องฟังปัญหาของประชาชนแล้วนำไปกำหนดนโยบาย จะทำให้การแก้ปัญหาตรงจุดมากยิ่งขึ้น
คุณวลิตมองว่า หนี้สินของภาคเกษตรนั้น ถ้าศึกษากันอย่างแท้จริงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้ารัฐมีการสนับสนุนหรือแก้ไขลงมาให้ถูกจุด คือแก้ไขจากต้นเหตุ ไม่ใช่พอมีปัญหาก็ปิดถนน เรียกร้องกันไป รัฐก็มาช่วยทีหนึ่ง นั่นเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
2. สนับสนุนกลุ่มที่มีศักยภาพในแต่ละด้านอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน พร้อมกับเชื่อมโยงเครือข่ายให้กว้างขวางขึ้น
ยกตัวอย่างศูนย์ไหนที่มีศักยภาพด้านไหน รัฐก็ให้การสนับสนุนเฉพาะด้านนั้นๆ เช่น ศูนย์ไหนผลิตเมล็ดพันธุ์ ศูนย์ไหนที่สามารถทำแปรรูปได้ ทำตลาดได้ รัฐก็สนับสนุนอย่างเป็นขั้นตอน เชื่อมโยงเครือข่ายซึ่งกันและกัน
3. ปฏิรูปเรื่องระบบการศึกษา
3.1 ระบบการศึกษาต้องช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ตัวตนที่แท้จริงของคนไทย
ปัญหาอีกด้านที่คุณวลิตมองว่าเป็นเรื่องใหญ่คือ เรื่องการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องของประวัติศาสตร์ ซึ่งรัฐบาลไม่สนับสนุนให้เด็กเรียนรู้ ทำให้ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเรา ฉะนั้นเราจึงตกเป็นทาสความคิดของชนชาติอื่น การพัฒนาบ้านเมืองจึงไม่เกิดจากความคิดหรือความต้องการที่แท้จริงของคนไทย
3.2 ระบบการศึกษาต้องช่วยปรับทัศนคติของคนไทยให้มีจิตวิญญาณรักถิ่นฐานบ้านเกิดและรักวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน
การศึกษามีส่วนสำคัญที่จะไปปรับทัศนคติ เจตคติต่างๆ ของคนรุ่นใหม่ที่จะกลับมาพัฒนาประเทศ อย่างเช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเด็กเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของชุมชนว่าชุมชนคิดอย่างไร แก้ไขอย่างไร อย่างน้อยนิสิตที่มาฝึกงานที่ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชนฯ ทั้งหมด 52 คน ก็ได้เห็นวิถีชีวิตแท้ๆ ของชุมชน ก็น่าจะทำให้นิสิตส่วนหนึ่งต้องการกลับไปพัฒนาสังคมในวันข้างหน้า
3.3 ระบบการศึกษาต้องช่วยให้เด็กค้นพบตัวเอง
เด็กที่สนใจทางด้านการเกษตรจริงๆ นั้นยังมีน้อย เพราะเด็กไม่สนใจทางด้านนี้ ส่วนใหญ่หลงใหลไปกับเทคโนโลยี และที่สำคัญคือยังไม่รู้ตัวเองว่าชอบอะไร ยังไม่ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ยกตัวอย่าง ที่ชุมชนจะมีการสนับสนุนการศึกษาให้กับเด็กๆ เลือกตามความรักและชอบ แต่ก็ได้เตรียมเรื่องการเกษตรไว้ให้ด้วย โดยได้เตรียมเมล็ดพันธุ์ไว้สำหรับให้เด็กๆ ที่สนใจทำการเกษตรประมาณ 1-2 ไร่ ให้เขารวมกลุ่ม ตั้งเป็นกองทุนของเขาเอง ให้เขารู้จักวิธีบริหารจัดการกันเอง
บทส่งท้าย
สำหรับคุณวลิต เจริญสมบัติ การทุ่มเทความรู้ ความสามารถทำงานให้กับชุมชนตำบลเจดีย์หักก็เพื่อต้องการเห็นเกษตรกรที่นี่ ปรับเปลี่ยนความคิดในเรื่องของการพัฒนาที่ดินให้พลิกฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา ตลอดจนการที่สมาชิกเปลี่ยนแปลงตัวเอง เกิดการเรียนรู้ต่างๆ เมื่อก่อนชุมชนที่นี่เป็นชุมชนปิด แต่วันนี้เป็นชุมชนเปิดและพร้อมที่จะรับความรู้ต่างๆ ด้วยความสมัครใจ
สิ่งที่คุณวลิตภาคภูมิใจที่สุดคือ วันที่ชุมชนแห่งนี้ สามารถพึ่งตนเองได้จริงโดยตัวตนของเขาเอง โดยหวังไว้ว่า อีก 10 ปีข้างหน้าจะมีเด็กรุ่นใหม่ๆ เข้ามาช่วยกันพัฒนาชุมชนของตนเอง ทำอย่างไรให้ชุมชนอยู่กันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่มีหนี้สิน และมีสวัสดิการคุ้มครอง คุณวลิตมุ่งหวังให้เขาพึ่งตนเองให้ได้ในชุมชนสังคมชนบทแห่งนี้ เพื่อเหตุผลที่ว่า วันหนึ่งที่คุณวลิตจะต้องก้าวออกไป ชุนชนจะต้องเข้มแข็งและยืนหยัดได้ด้วยตนเอง หากชุมชนในเมืองไทยสามารถพึ่งตนเองได้ ประชาชนจะอยู่รอด ปลอดภัย ปราศจากหนี้สิน มีความสุขอย่างพอเพียงและยั่งยืน ดังเช่นชุมชนแห่งนี้
|