เคฟกูสเบอรี่
หรือ Cape gooseberry มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Physalis peruviana
L. มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล เป็นพืชอยู่ใน Genus Physalis
และ Family Solanaceae พวกตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ และมะเขือเทศ
โดยพบมากกว่า 70 ชนิด (species) มีทั้งอายุปีเดียวและหลายปี แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่มีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจ
แต่มีชนิดหนึ่งที่ให้ผลผลิตที่มีรสชาติที่วิเศษ และได้กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกคือ
เคฟกูสเบอรี่ สำหรับในประเทศไทยนั้นเคยมีการเรียก เคฟกูสเบอรี่ ว่า
โทงเทงฝรั่ง ช่วงระยะแรกที่นำเข้ามาทดลองปลูกเป็นพืชทดแทนฝิ่นทางภาคเหนือของมูลนิธิโครงการหลวง
เพราะมีลักษณะนิสัยเหมือนกับต้นโทงเทง (P. minima L. และ P. angulata
L.) ที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในบ้านเราและจัดเป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง แต่ต่อมาได้มีการเรียกชื่อใหม่เพื่อผลลัพธ์ทางด้านการตลาดคือ
ระฆังทอง : Golden Bell และได้กลายเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคอยู่ในขณะนี้
เคฟกูสเบอรี่ผลขนาดเล็ก มีรสเปรี้ยวอมหวาน ให้คุณค่าวิตามิน C นิยมรับประทานผลสด
เช่น ชุบช็อกโกแลต สลัด ใช้เป็นส่วนประกอบของขนมต่าง ๆ ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นแยมผลไม้
พันธุ์
Giallo Grosso มีผลขนาดใหญ่สีทองใช้รับประทานสดหรือการแปรรูปหลังจากสุกแล้ว
ปลูกในพื้นที่สภาพอากาศหนาวเย็นปานกลาง และเป็นพืชอายุหลายปี
พันธุ์
Giant ผลขนาดใหญ่ สีส้มทอง ผลมีขนาดเฉลี่ยเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว
รสชาติดี ต้นแผ่กว้างและสูง 3-5 ฟุต ต้องการช่วงการเจริญเติบโตที่ยาวนาน
พันธุ์
Giant Poha Berry ผลมีขนาดเฉลี่ยเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 นิ้ว รสชาติหวานและหอม
รสชาติและสีของน้ำผลไม้เหมือนน้ำส้ม ผลที่แห้งวางบนฟรุตเค้กเหมือนลูกเกด
เรียกได้ว่าทนน้ำค้างแข็งได้เล็กน้อยเหมือนมะเขือเทศ ขณะที่ชนิดหรือพันธุ์อื่นจะตาย
ในสภาพพื้นที่ที่หนาวกว่าจะใช้เวลาครึ่งถึงหนึ่งปีจากการปลูกด้วยเมล็ดจนกระทั่งให้ผลผลิตที่ดี
พันธุ์
Golden Berry, Long Aston ผลสีทองจัด และเรียกได้ว่าเด่นกว่าพันธุ์อื่น
ๆ
ด้านคุณค่าทางอาหารของเคพกูสเบอรี่
พบว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแหล่งของวิตามินซี เปปตินและวิตามินเอที่สูงมาก
ตารางที่ 1 คุณค่าทางอาหารของเคฟกูสเบอรี่ต่อส่วนที่รับประทานได้น้ำหนัก
100 กรัม

สตรอเบอรี่ดอย
(Common name; Wild strawberry, Mountain strawberry, Hillside strawberry)
สตรอเบอรี่ที่เป็นพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์ป่า (Wild varieties)
นั้น เป็นสายพันธุ์ที่ถูกพบโดยทั่วไปในตอนกลางและทางใต้ของอเมริกา
ทางเหนือและตอนกลางของยุโรป ตลอดจนในแถบเอเซียพบว่าอยู่กระจายทั่วไปในเขตไซบีเรีย
อัลมาเนีย และทางเหนือของซีเรีย ได้มีการนำสายพันธุ์เหล่านี้มาผสมกันเพื่อให้เกิดสตรอเบอรี่พันธุ์ใหม่ในศตวรรษที่
18 ดังนั้นการปลูกพันธุ์พื้นเมืองจึงเพิ่มขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใช้ในการผสมพันธุ์เพียงอย่างเดียวตั้งอดีตเรื่อยมา
เนื่องจากมีความต้านทานต่อโรคพืชหลายชนิดและสามารถถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเหล่านี้ไปยังพันธุ์ลูกผสมที่เกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ดีภายใต้สถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของโลกในยุคปัจจุบันนี้
ทำให้ทัศนคติและความนิยมของการบริโภคสินค้าเกษตรเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพของมนุษย์ยุคใหม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
มีการแสวงหาและเพาะปลูกพืชพันธุ์หลากหลายชนิดที่สามารถให้สารที่เป็นประโยชน์และมีสรรพคุณในป้องกัน
กำจัด หรือยับยั้งโรคภัยไข้เจ็บต่างๆเพิ่มมากขึ้นโดยอาศัยการศึกษาจากฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์และรายงานการค้นพบหรือคำบอกเล่าจากผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งในบรรดาพืชพันธุ์เหล่านี้ก็รวมทั้งสตรอเบอรี่สายพันธุ์ดั้งเดิมดังกล่าวข้างต้นด้วย
สำหรับในประเทศไทยนั้นทางมูลนิธิโครงการหลวงก็ได้มีการปลูกสตรอเบอรี่สายพันธุ์ดังกล่าวบนพื้นที่ที่สูงมากกว่า
1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลมาหลายสิบปีแล้ว แต่ถือว่าได้เริ่มมีการส่งเสริมและจำหน่ายเป็นการค้าอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ฤดูกาลผลิตในปี
พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา โดยใช้ชื่อขณะนี้ว่า สตรอเบอรี่ดอย
คุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ในทางการแพทย์ของสตรอเบอรี่ดอย
ในทางการแพทย์จากอดีตนั้นพบว่าส่วนต่างๆของสตรอเบอรี่ดอย
(Wild Strawberry) ทั้งประเภท F. vesca หรือ F. virginiana
สามารถใช้เป็นประโยชน์ในการป้องกันรักษาโรคต่างๆได้ เช่น รากที่มีความฝาดในรักษาอาการท้องร่วง
และใบแปรรูปเป็นชาชงดื่มรักษาโรคบิด เป็นต้น
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบันรายงานว่า
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุทำให้คนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด
8 ปีที่ผ่านมา คาดว่าในปี พ.ศ. 2551 จะมีผู้ป่วยจากโรคมะเร็งมากถึง
120,000 ราย และพบว่ามีผู้ป่วยที่มีอายุน้อยลงกว่า 40 ปีในปริมาณที่สูงขึ้น
การรับประทานผักและผลไม้สดรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผักและผลไม้
พบว่ามีผลต่อการต้านทานของโรคเรื้อรังบางชนิดได้เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด
จากผลของการค้นพบในทางการแพทย์ยุคปัจจุบันนี้ นับว่าการค้นพบสารที่ต้านออกซิเจนไปรวมตัวกับสารอื่นแล้วทำลายตัวมันเองหรือเรียกว่า
สาร Antioxidants นั้นเป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าสารขจัดอนุมูลอิสระพวกนี้จะเป็นสารที่ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงทำให้คนเราไม่เกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย มีผลกระทบให้ระบบภายในของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น
อันเป็นการเสริมสร้างชีวิตให้มีคุณภาพและพลังกายให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ผลสตรอเบอรี่สดถูกพบว่าเป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
(antioxidants) ซึ่งประกอบไปด้วยวิตามินซี สาร anthocyanins, flavonoids
และ phenolic acids ในปริมาณที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นๆ
มีรายงานการวิจัยที่พบว่า anthocyanins สามารถลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งประเภท
HT-29 และ HCT-116 ในคนเราได้ และหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้อย่างชัดเจน
โดยทั่วไประดับและปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่สกัดได้จากผลสตรอเบอรี่จะผันแปรไปตามประเภทของสายพันธุ์
ซึ่งปรากฏจากความเป็นจริงของผลการวิจัยว่า สตรอเบอรี่พันธุ์ลูกผสม
(F. x ananassa Duch.) ที่ได้จากการผสมพันธุ์ใหม่ๆ โดยผู้บริโภคนิยมและผลิตเป็นการค้าทั่วโลก
จะมีปริมาณสารต่อต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าสตรอเบอรี่พันธุ์ดั้งเดิมหรือสตรอเบอรี่ดอย
(wild strawberry) อย่างชัดเจน นอกจากนี้สตรอเบอรี่ลูกผสมเช่นพันธุ์
Allstar ก็ยังพบว่ามีปริมาณของสารต่อต้านอนุมูลอิสระน้อยกว่าพันธุ์
Ovation ทั้งๆที่เป็นพันธุ์ลูกผสมประเภทเดียวกัน
การวิจัยที่เป็นข้อมูลสำคัญและใหม่ล่าสุดโดย
Wang และ Lewer ในปี 2007 และ Wang กับคณะในปีเดียวกันที่ห้องทดลองทางด้านไม้ผลของ
U.S. Department of Agricultureได้ค้นพบว่า สารสกัดจากผลสตรอเบอรี่สดพันธุ์ดั้งเดิมประเภท
F. virginiana สามารถหยุดยั้งการขยายตัวของเยื่อบุเซลล์มะเร็งปอด
(A549) ของมนุษย์ได้มากถึง 34 % ซึ่งมากกว่าสารสกัดจากผลสตรอเบอรี่สายพันธุ์พื้นเมือง
(F. chiloensis ) และพันธุ์ลูกผสมที่เกิดขึ้นใหม่ (F.
x ananassa Duch.) ที่สามารถหยุดยั้งได้เพียง 26 และ 25 % ตามลำดับ
(นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ P < 0.0001) นอกจากนี้ยังรายงานว่าสารสกัดจากผลสตรอเบอรี่ของ
F. virginiana มีกิจกรรมของเอ็นไซม์ของสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในส่วนของสตรอเบอรี่ทั้งสองประเภทข้างต้นที่นำมาเปรียบเทียบกันอย่างมีนัยสำคัญ
การปลูกและดูแลรักษาสตรอเบอรี่ดอย
ในประเทศไทยสตรอเบอรี่ดอยสามารถปลูกได้ในหลายระบบ
แต่ควรอยู่ภายใต้สภาพโรงเรือนหลังคาพลาสติกใสเพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพและหลีกเลี่ยงความเสียหายอันเนื่องมาจากการแปรปรวนของสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน
ระบบการปลูกดังกล่าวได้แก่ แบบยกร่องสูงเหมือนการปลูกสตรอเบอรี่โดยทั่วไปซึ่งต้องใช้วัสดุคลุมแปลงเพื่อไม่ให้ผลผลิตเสียหาย
ป้องกันวัชพืช และช่วยรักษาความชื้นในดิน แบบที่สองเป็นการปลูกในภาชนะที่เป็นถุงหรือกระถางพลาสติกวางเรียงเป็นแถวยาว
และแบบสุดท้ายปลูกตามยาวภายในรางไม้ไผ่หรือท่อพลาสติก PVC ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
8 10 นิ้วผ่าครึ่ง ยกสูงจากพื้นดินวางเรียงเป็นชั้นๆ เพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิต

|