มะเดื่อฝรั่ง
หรือ Fig มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ficus carica L. อยู่ในวงศ์ Moraceae
มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก มีการปลูกมะเดื่อฝรั่งมานับพันปีในประเทศแถบลุ่มแม่น้ำเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรปและแอฟริกาเหนือ
(Manago, 2006) ปัจจุบันการปลูกมะเดื่อฝรั่งได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในประเทศสเปน
ตุรกี และอิตาลี บางพันธุ์สามารถปลูกได้ในแคลิฟอร์เนียทางใต้และพื้นที่แห้งแล้งของอเมริกา
มะเดื่อฝรั่งเป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนการกำจัดของเสียของร่างกาย
ในผลสดมีปริมาณเส้นใยอาหาร 1.2 % ส่วนในผลอบแห้งสูงถึง 5.6% กล่าวได้ว่ามะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่น่าสนใจมากในแง่ของอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
(Bolin and King, Jr., 1980)
ในประเทศไทย
มูลนิธิโครงการหลวงมีการศึกษาวิจัยมะเดื่อฝรั่งมานานกว่า 20 ปีแล้ว
โดยมีจุดประสงค์ที่มุ่งเน้นการปลูกพืชที่สร้างรายได้ให้กับชาวไทยภูเขาทดแทนฝิ่น
(Punsri and Thongtham, 1983) กระทั่งปัจจุบันการศึกษาวิจัยได้ทำการศึกษาลักษณะทางสัณฐานวิทยา
กายวิภาควิทยา และการเจริญเติบโตของมะเดื่อฝรั่งบางสายพันธุ์ โดยเน้นไปที่การปรับตัวและการให้ผลผลิตในสภาพพื้นที่สูง
แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาที่เน้นในเรื่องวิธีการขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งเนื้อแข็งเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดในการเพิ่มจำนวนต้นมะเดื่อฝรั่ง
เนื่องจากทุกวันนี้ผู้บริโภคมีความต้องการบริโภคมะเดื่อฝรั่งอบแห้งเพื่อสุขภาพ
ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเข้ามะเดื่อฝรั่งอบแห้งจากอเมริกา, ตุรกี และประเทศอื่น
ๆ อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่ามะเดื่อฝรั่งอบแห้งจะมีผลผลิตตลอดทั้งปี
แต่ก็ไม่เหมือนมะเดื่อฝรั่งสดซึ่งมีรสชาติเฉพาะตัวและเนื้อของผลที่ไม่เหมือนผลไม้ชนิดอื่น
ในเขตร้อนโดยทั่วไปมะเดื่อฝรั่งสามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่
800 ถึง 1,800 เมตร (Morton, 1987) และทนต่อน้ำค้างแข็งที่อุณหภูมิต่ำถึง
8 ?C (Samson, 1986) อย่างไรก็ตามต้นมะเดื่อฝรั่งก็ชะงักการเจริญเติบโตเมื่ออยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำเช่นเดียวกับไม้ผลในเขตกึ่งร้อนชนิดอื่น
ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาในการปักชำกิ่งเนื้อแข็งของมะเดื่อฝรั่งบนพื้นที่สูงในเขตร้อน
รวมทั้งพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยซึ่งมีสภาพอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี
ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีการกล่าวถึงอิทธิพลของกระโจมพลาสติกต่อการเพิ่มจำนวนของต้นมะเดื่อฝรั่งให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ภายใต้สถานการณ์ความต้องการด้านการตลาดของผลมะเดื่อฝรั่งสดในปัจจุบัน
นำมาสู่การศึกษาวิจัยนี้ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งเนื้อแข็งของมะเดื่อฝรั่งด้วยการใช้และไม่ใช้กระโจมพลาสติกเพื่อส่งเสริมให้แก่เกษตรกรชาวไทยภูเขาในเขตพื้นที่สูงฃ
การศึกษาการพัฒนาวิธีการขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งของมะเดื่อฝรั่ง
(Ficus carica L.) ด้วยการใช้และไม่ใช้กระโจมพลาสติกที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
(หน่วยวิจัยขุนห้วยแห้ง) เป็นการทดลองที่ 1 และสถานีเกษตรหลวงปางดะเป็นการทดลองที่
2 ทั้งสองสถานีอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลเท่ากับ
1,300 และ 720 เมตรตามลำดับ จากการทดลองที่ 1 กิ่งปักชำขนาด 1.4
1.6 และ 1.8 2.0 เซนติเมตรเปรียบเทียบกับกิ่งปักชำขนาด 0.6-0.8
และ 1.0-1.2 เซนติเมตร สามารถที่จะเพิ่มการเจริญของตาและราก จากการชี้วัดของจำนวนตาและรากที่แตกออกมาในพันธุ์
Brown Turkey ในการทดลองที่ 2 พันธุ์ Brown Turkey เป็นพันธุ์ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดจากการศึกษาโดยการใช้กระโจมพลาสติก
ตามมาด้วย Dauphine และ Lisa การเปรียบเทียบการใช้และไม่ใช้กระโจมพลาสติกระหว่างสายพันธุ์คาดได้ว่ากิ่งปักชำในกระโจมพลาสติกเพิ่มจำนวนของการเกิดตาและรากได้เร็วกว่ากิ่งปักชำที่ไม่ใช้กระโจมพลาสติก
ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า
การใช้กระโจมพลาสติกเพิ่มอุณหภูมิที่จะไปกระตุ้นการเกิดแคลลัสของตาและรากได้เร็วขึ้นในการขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่งจากการปักชำในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศเย็น
เช่น สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์
การทดลองที่
1 กิ่งปักชำเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.4 1.6 และ 1.8 2.0 ซม.
มีการเจริญของตาและรากเพิ่มขึ้นบางส่วนอาจเนื่องมาจากขนาดของกิ่งปักชำ
โดยชี้วัดจากจำนวนการเกิดตาและรากในพันธุ์ Brown Turkey นอกจากนี้ผลของการใช้กระโจมพลาสติกทำให้กิ่งปักชำเกิดตาภายใน
10 วันหลังการปักชำ และเกิดตาและรากมากขึ้นเมื่อปักชำ 30 วัน เมื่อเปรียบเทียบกับกิ่งปักชำที่ไม่ใช้กระโจมพลาสติก
สำหรับกิ่งแก่เนื้อแข็งอายุ 1 ปี ของมะเดื่อฝรั่งพันธุ์ Bursa Siyahi
Sefero?lu และ Tekintas (1997) พบว่าการเกิดแคลลัสของท่อน้ำและอาหารจะใช้เวลาอย่างน้อย
20 วันหลังการปลูก และแคลลัสจะพัฒนาเป็นตาและใบใช้เวลา 40 วันหลังการปลูก
การลดลงของความชื้นจะมีผลเสียต่อจำนวนรากและความยาวราก (Tekintas
and Sefero?lu, 1997) จากข้อมูลอุณหภูมิอากาศในตารางที่ 4 ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า
การใช้กระโจมพลาสติกเพิ่มอุณหภูมิที่จะไปกระตุ้นการเกิดแคลลัสของตาและรากได้เร็วขึ้นในการขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่งโดยการปักชำในพื้นที่สูงที่มีสภาพอากาศเย็นตลอดทั้งปี
การทดลองที่
2 การศึกษาวิธีการขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งของมะเดื่อฝรั่งเปรียบเทียบการใช้และไม่ใช้กระโจมพลาสติกระหว่างสายพันธุ์
ผลการทดลองที่ได้ช่วยเพิ่มทางเลือกในการหาวิธีที่ดีในการขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง
ระหว่าง 3 สายพันธุ์ Brown Turkey เป็นพันธุ์ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดจากการศึกษาโดยการใช้กระโจมพลาสติก
ตามมาด้วย Dauphine และ Lisa Morton (1987) รายงานว่าพันธุ์
Brown Turkey สามารถปรับตัวได้ดีและปลูกกันมากที่สุดในเขตอบอุ่น
(RHS, 1986) ได้มีรายงานว่าการปักชำกิ่งแก่อายุ 1 ปี ของมะเดื่อฝรั่งทั้ง
3 สายพันธุ์ที่ปลูกในวัสดุปลุกที่มี perlite เป็นส่วนประกอบหลัก
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลต่างกันเนื่องมาจากสายพันธุ์และช่วงระยะเวลาด้วย
(Karaden?z, 2001) อย่างไรก็ตามในการทดลองนี้หลังจากปักชำ 2 สัปดาห์
กิ่งปักชำมีการแตกตาเกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนรากจะเกิดหลังจากปักชำไปแล้ว
4 สัปดาห์ ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่า การใช้กระโจมพลาสติกกระตุ้นการเกิดแคลลัสของตาและรากได้เร็วขึ้น
เปรียบเทียบการใช้และไม่ใช้กระโจมพลาสติกระหว่างสายพันธุ์คาดได้ว่ากิ่งปักชำในกระโจมพลาสติกเพิ่มจำนวนของการเกิดตาและรากได้เร็วกว่ากิ่งปักชำที่ไม่ใช้กระโจมพลาสติก


|