ทีทรี
: Tea Tree (Melaleuca alternifolia) อยู่ในวงศ์ Myrtaceae เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย
พบมากในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 27 32 องศาใต้
เป็นไม้พุ่มสูง 5 7 เมตร ใบมีขนาดเล็กแหลม ดอกเกิดเป็นกลุ่ม
เกสรตัวผู้เห็นเด่นชัดเป็นช่อสีขาว ผลมีขนาดเล็กติดกระจายอยู่ตามกิ่งก้าน
เมล็ดมีขนาดเล็กมาก
ทีทรี
เป็นพืชที่ใบมีน้ำมันหอมระเหยเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักซึ่งน้ำมันหอมระเหยดังกล่าวมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์
เป็นสารปฏิชีวนะและสาร antiseptic ที่ดี น้ำมันทีทรีได้จากการนำกิ่งและใบมากลั่นด้วยไอน้ำ
น้ำมันมีสีขาวใสหรือสีเหลืองอ่อนปนเขียว
องค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันทีทรีมีสารสำคัญคือ
Terpinen-4-ol และ 1,8-cineole ซึ่งสารสำคัญ ที่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรค
คือ Terpinen-4-ol มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง
สาร1,8-cineole ไม่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์แต่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
ต่อผิวหนังถ้ามีในปริมาณสูง ดังนั้นมาตรฐานของประเทศออสเตรเลียจึงกำหนดว่าน้ำมันทีทรีที่มีคุณภาพดี
ควรมีปริมาณสาร Terpinen-4-ol 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป และมีปริมาณสาร
1,8-cineole ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ สรรพคุณในการรักษาโรค ได้แก่
แก้ไข้ ขับเสมหะ รักษาอาการอ่อนเพลีย รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย
แผลเป็นหนอง รักษาการติดเชื้อในช่องคลอด มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต้านการติดเชื้อ
รักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อย รักษาโรคน้ำกัดเท้า รักษาสิว รักษาหูด
แก้รังแค ออกฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคและเชื้อจุลินทรีย์โดยทั่วไปได้หลายชนิด
ทั้งเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและยีสต์ เนื่องจากน้ำมันทีทรีมีคุณสมบัติเป็นสารฆ่าเชื้อโรคที่ดี
(antiseptic) ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังได้ดีและไม่ก่อให้ เกิดการระคายเคือง
จึงมีการนำน้ำมันทีทรีมาใช้ในเครื่องสำอางอย่างแพร่หลาย เช่น สบู่
โฟมล้างหน้า ยาสระผม และยาสีฟัน นอกจากนั้นยังพบว่า น้ำมันทีทรีเมื่อนำมาผสมกับน้ำมันหอมระเหยชนิดอื่นสามารถใช้เป็นสารในสุวคนธบำบัด
(aromatherapy) ได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีการนำน้ำมันทีทรีมาใช้ประโยชน์อย่างแพร่หลายทั้งในด้านการแพทย์
อุตสาหกรรมการผลิตยา อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมการผลิตน้ำหอม
และในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ประเทศออสเตรเลียเป็นแหล่งผลิตน้ำมันทีทรีใหญ่ที่สุดในโลก
โดยมีการผลิตถึง 400 ตันต่อปีและมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 18 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี
น้ำมันทีทรีส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป
รวมทั้งประเทศไทยก็นำเข้าเช่นเดียวกันเพื่อใช้เป็นส่วน ประกอบของผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ จึงทำให้หลายประเทศเริ่มมีโครงการผลิตน้ำมันทีทรี เช่น จีน อินเดีย
เวียตนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
จากคุณประโยชน์และศักยภาพด้านการตลาดของน้ำมันทีทรีดังกล่าวข้างต้น
สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตรได้ร่วมมือกับสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
ศึกษาการผลิตน้ำมันทีทรีในสภาพนิเวศเกษตรของประเทศไทย ซึ่งจะได้องค์ความรู้ในเรื่องสภาพนิเวศเกษตรของพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกทีทรีเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงที่สุด
มีปริมาณน้ำมันรวมทั้งองค์ประกอบทางเคมีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ผลจากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในประเทศไทยพบว่า
พื้นที่สูงตั้งแต่ 900 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีศักยภาพที่สามารถปลูกทีทรีได้เป็นอย่างดี
ซึ่งที่อายุ 15 เดือนหลังย้ายปลูกลงแปลง มีอัตรารอดตาย 79 เปอร์เซ็นต์
เจริญเติบโตเร็ว ลำต้นสูง 137 207 เซนติเมตร น้ำมันหอมระเหยที่ได้สีขาวใส
กลิ่นหอมสดชื่น มีปริมาณ 1.78 2.84 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับวิธีการกลั่นและลักษณะของกิ่ง/ใบที่นำมากลั่น
ว่าเป็นกิ่ง/ใบสดหรือกิ่ง/ใบแห้ง องค์ประกอบทางเคมีเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานของประเทศออสเตรเลีย
พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับได้ ยกเว้น Terpinen-4-ol
มีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย (ตามรายละเอียดในตาราง) ทั้งนี้เนื่องจากต้นพันธุ์ที่ใช้ศึกษาเป็นต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด
จึงมีความแปรปรวนทางพันธุกรรมซึ่งลักษณะทางพันธุกรรมมีผลโดยตรงต่อปริมาณและคุณภาพของน้ำมันที่ได้
ซึ่งคงจะต้องค้นหาสายพันธุ์จากต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดนี้เพื่อให้ได้สายพันธุ์ดีที่มีน้ำมันและองค์ประกอบทางเคมีอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานต่อไป
ทีทรี
เป็นพืชต่างถิ่นชนิดหนึ่งที่อุตสาหกรรมภายในประเทศไทยมีความต้องการ
เนื่องจากความนิยมพุ่งรับกระแสบริโภคผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ รวมทั้งธุรกิจสปาที่กำลังเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก
ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศไทยที่มีน้ำมันทีทรีเป็นส่วนประกอบ
เช่น แชมพู ครีมนวดผม สบู่ ครีมบำรุงผิว โฟมล้างหน้า และผ้าอนามัย
เป็นต้น ทีทรีเป็นพืชที่เริ่มนำเข้ามาปลูกทดสอบในบางพื้นที่ของประเทศไทยตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2533 แต่ยังไม่มีข้อมูลรายงานที่ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันสถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตรได้ร่วมมือกับสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
ศึกษาศักยภาพการผลิตทีทรีในประเทศไทย และพบว่า ทีทรีก็สามารถปลูกได้ดีในประเทศไทย
องค์ประกอบในน้ำมันหอมระเหยทีทรี ตามมาตรฐานของประเทศออสเตรเลียและที่ผลิตได้ในประเทศไทย