การเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง “พืชแห่งพลังงานทดแทน”

            มันสำปะหลัง Manihot esculenta Crantz  เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย   นอกจากจะเป็นผู้ผลิตมันสำปะหลังได้มากเป็นอันดับที่สามของโลกรองจากประเทศไนจีเรีย และบราซิล ยังเป็นประเทศผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นอันดับหนึ่งของโลก   และนำรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 30,000 ล้านบาท  เนื่องจากมันสำปะหลังเป็นพืชของขวัญของเกษตรกรไทยเนื่องจากเป็นพืชที่ปลูกง่าย   แม้ดินจะไม่ดี    ทนต่อความแห้งแล้ง  ปัญหาโรคแมลงมีน้อย   หัวสดมีตลาดรองรับแน่นอน  การขุดเก็บเกี่ยวไม่ขึ้นกับฤดูกาลสามารถจะชะลอการเก็บเกี่ยวได้    จากการสำรวจมันสำปะหลังจะเห็นได้ว่า  ผลผลิตหัวมันสดเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้นไม่มากในปี  2547/2548 2548/2549 เฉลี่ยต่อไร่ (2,749และ 2,921กิโลกรัม)    จากการสำรวจการปลูกมันสำปะหลังประจำปี 2550/2551 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 7,302,960 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ 3,782 ตัน ผลผลิตรวม 27,618,763 ตันเปรียบเทียบกับปีประจำปี 2549/2550 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 7,201,243 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ 3,668 ตัน ผลผลิตรวม 26,411,233 ตัน พื้นที่เก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้น 1.41% ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น 3.11%และผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 4.57% (มูลนิธิพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย, 2550)  แม้ในปัจจุบันจะมีการขยายพื้นที่มันสำปะหลังพันธุ์ดีสู่เกษตรกรไปมากแล้วก็ตาม  สาเหตุหลักเนื่องจากดินเสื่อมโทรมทำให้ผลผลิตต่ำแม้ใช้มันสำปะ หลังพันธุ์ดีเนื่องจากเกษตรกรไม่นิยมปรับปรุงบำรุงดิน  การเพิ่มผลผลิตโดยรวมของประเทศจึงมาจากการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้นมากกว่า   ในการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่เพิ่มขึ้นนั้น  เกษตรกรสามารถทำได้ 3 วิธีร่วมกันคือ การจัดการดินดี การใช้พันธุ์ดีที่เหมาะสมกับดินและพื้นที่ การปฏิบัติดูแลรักษาดีก็จะช่วยให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ปัญหาของเกษตรกรผู้ผลิตมันสำปะหลังคือดินเสื่อมโทรมจะเป็นปัญหาอันดับหนึ่ง   จึงจำเป็นต้องหาหนทางในการปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดินและการบำรุงรักษาดินและการดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินให้สูงอยู่เสมอจะช่วยให้ผลผลิตหัวสดต่อไร่สูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน     เนื่องจากศักยภาพของพันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์ใหม่ถ้าเกษตรกรมีการปฏิบัติดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสมจะทำให้ได้ผลผลิตสูงเฉลี่ยต่อไร่ 5-10 ตันต่อไร่ได้  เนื่องจากการผลิตมันสำปะหลังในปัจจุบันแม้ราคาจำหน่ายหัวมันสดจะสูงขึ้นถึงกิโลกรัมละกว่า 2.50 บาท    แต่ปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ก็แพงขึ้นตามตัวไม่ว่าจะราคาน้ำมัน (ดีเซล) ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปุ๋ยเคมี สารกำจัดวัชพืช  ค่าแรงงาน ทำให้ต้องมองหาวิธีการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะปุ๋ยเคมีที่จะใส่ที่มีราคาแพงถึงกระสอบละ 1,000 กว่าบาทนั้นต้องมองหาแหล่งปุ๋ยอินทรีย์ที่นับวันจะหาอยากเพื่อจะนำมาใช้ทั้งโดยตรงและร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมีที่ใช้อัตราต่ำลง แต่ยังคงให้ผลผลิตคุ้มกับการลงทุน    ในปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหากับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและน้ำมันิบมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องดังนั้นการหาแหล่งพลังงานใหม่เข้ามาทดแทนการนำเข้าน้ำมันดิบจากวัตถุดิบทางการเกษตรที่สามารถผลิตได้เองภายในประเทศ  จะช่วยให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืน    สถานภาพวัตถุดิบที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอลสามารถผลิตได้จากพืชจำพวกแป้งและน้ำตาลเมื่อนำมาผสมกับน้ำมันเบนซินในอัตราส่วน 20 %  จะได้น้ำมันที่เรียกว่า แก๊ซโซฮอล์(Gasohol) โดยวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศไทยที่มีศักยภาพสูงสำหรับการผลิตเอทานอลได้แก่ อ้อย  กากน้ำตาล  และมันสำปะหลัง  จากการวิจัยและพัฒนาพบว่าวัตถุดิบที่เหมาะสมที่สุดในอุตสาหกรรมการผลิตเอทานอลคือมันเส้นเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุชนิดอื่นๆ  การใช้วัตถุดิบจากมันสำปะหลังจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้มันน้อยที่สุด  ทั้งนี้พิจารณาถึงความสามารถและกำลังการผลิตหัวมันสำปะหลังซึ่งในปัจจุบัน  ผลผลิตหัวสดมีปริมาณไม่เพียงพอในการผลิตแป้งในปัจจุบันและราคาหัวมันสดที่สูงถึงกว่า 2.50  บาทจึงทำให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตเอธานอลที่ไม่คุ้มกับการลงทุน  เนื่องจากปัญหาจำนวนผลผลิตส่วนใหญ่ใช่ในอุตสาหกรรมอาหารจึงมีผลผลิตไม่เพียงพอในการนำไปผลิตพลังงานทดแทนหากจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นเป็นเรื่องจำเป็น   การปฏิบัติในการปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและปริมาณแป้งในมันสำปะหลังเพื่อรองรับทางด้านพลังงานสามารถทำได้ดังนี้

            1. การเตรียมดินดี  ดินเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการปลูกพืช  ดินที่ปลูกจะต้องมีความอุดมสมบูรณ์ที่เหมาะสมในการปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่จะปลูกในดินร่วนปนทราย ในสภาพพื้นที่ลอนลาด เนินเขาต่างๆ    ในการปฏิบัติส่วนใหญ่หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จในช่วงต้นฤดูฝนถ้าทำการปลูกต่อจะไถพื้นที่ด้วยรถไถผาล 3 หรือเรียกว่าไถดะ  เพื่อไถหมักต้นและใบสดที่ทิ้งในแปลงรวมทั้งวัชพืชที่ขึ้นในแปลงโดยทิ้งไว้ประมาณ 15-20 วันเพื่อหมักให้วัชพืชเน่าเปื่อย หากจะบำรุงดินโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือสารปรับปรุงดินเช่น ยิบซั่ม ก็ทำการหว่านให้ทั่วทั้งแปลงเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอก็ทำการไถอีกครั้งด้วยรถไถผาล 7 เรียกว่าไถแปร  ถ้าหากปลูกแบบพื้นราบก็ทำการปลูกได้เลยโดยการใช้เชือกทำเครื่องหมายระยะปลูกให้เหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่ หากในบางพื้นที่ก็ทำการยกร่องปลูกก็ขึ้นกับสภาพพื้นที่

            2. ปรับปรุง  และบำรุงดิน ปัจจุบันพันธุ์มันสำปะหลัง เทคโนโลยีการผลิตนั้น  ประเทศไทยถือได้ว่ามีความก้าวหน้ามากที่สุดประเทศหนึ่งในประเทศผู้ปลูกมันสำปะหลังในโลกปัจจุบัน แต่ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังในประเทศไทยคือ ปัญหาเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ต่ำ ทำให้ผลผลิตหัวสดเฉลี่ยของเกษตรและของประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำประมาณ 2.5-3.0 ตันต่อไร่
(ปี2549/50  3.7 ตันต่อไร่)  แม้เกษตรกรจะใช้มันสำปะหลังพันธุ์ที่ใหม่และให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย  5-10 ตันต่อไร่ก็ตามแต่หากไม่มีการปรับปรุงบำรุงดินให้ดีก็คงจะได้ผลผลิตสูงได้อยาก
            การปรับปรุงบำรุงดินเป็นสิ่งจำเป็นในการปลูกมันสำปะหลังหากจะปลูกแล้วให้มีกำไรและให้ผลผลิตอย่างยั่งยืน  ปัจจุบันเกษตรกรนิยมใช้ปุ๋ยอินทรีย์ได้แก่ ปุ๋ยมูลไก่ มูลสุกร มูลโค หรือ มูลสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่หาได้โดยใส่อัตราประมาณ 500 – 1,000  กก./ไร่ หรือปุ๋ยอื่นๆที่หาได้ในท้องถิ่น เช่นนอกจากนั้นยังสามารถใช้วัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานที่สามารถนำมาใช้โดยตรง เช่น เปลือกมันสำปะหลังจากโรงงานแป้งมันสำปะหลังที่ทิ้งหมักไว้แล้ว วัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานผงชูรส เป็นต้น  การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการปรับปรุงบำรุงดินต้องใส่ในปริมาณที่มากเนื่องจากปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่มีปริมาณธาตุอาหารที่ต่ำและการปลดปล่อยธาตุอาหารก็ช้าและต้องใช้เวลาในการใช้จึงจะเห็นผลจำเป็นต้องใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีจึงจะเกิดประโยชน์และช่วยให้ผลผลิตสูงขึ้น
            ในกรณีปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อทำเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดินเป็นเรื่องที่ดีในทางทฤษฎีแต่ในทางปฏิบัติแม้ผลการทดลองจากการใช้ปุ๋ยพืชสดร่วมกับการปลูกมันสำปะหลังได้ผลผลิตหัวสดสูงขึ้น แต่การขยายผลจากงานทดลองสู่เกษตรกรยังไม่มีการตอบรับจากเกษตรส่วนใหญ่  เนื่องจากเกษตรกรมีทุนในการปลูกมันสำปะหลังน้อยอยู่แล้วการไถแต่ละครั้งต้องใช้ต้นทุนสูงขึ้นจึงไม่ได้รับการยอมรับ       
            ประภาสและคณะ ศึกษาการใช้แคลเซียมซัลเฟต(CaSo4.2H2O)หรือยิบซั่มซึ่งเป็นสารปรับปรุงดินที่มีธาตุแคลเซี่ยม (Ca) และกำมะถัน(S)เป็นองค์ประกอบหลักใส่ในการปลูกมันสำปะหลังร่วมกับปุ๋ยเคมีและปุ๋ยมูลไก่ทั้งในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝนโดยในชุดดินวาริน ทำการศึกษาโดยใช้มันสำปะหลังพันธุ์ เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 72 และพันธุ์ห้วยบง 60 ส่วนชุดดินมาบบอนใช้มันสำปะหลังพันธุ์ห้วยบง 60 และพันธุ์ระยอง 5 ทั้งต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝนเป็นเวลา 3 ปี      จากผลการทดลองในดินชุดวารินในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมาและชุดดินมาบบอนในอำเภอพนมสารคามจังหวัดฉะเชิงเทราในการทดลองทั้งสองชุดดินที่มีสภาพเป็นดินร่วนปนทรายสามารถยกระดับผลผลิตเพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน  ก็เป็นทางเลือกที่เกษตรกรจะพิจารณาใส่ในการปลูกมันสำปะหลังเนื่องจากปัญหาราคาปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงมาก

            3. การวางแผนการปลูกให้เหมาะสมกับฤดูกาล
            -  ปลูกปลายฤดูฝน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงเดือนตุลาคม – ไม่ควรเกินวันที่ 10 พฤศจิกายน    ในภาคตะวันออกตั้งแต่เดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ การปลูกมันสำปะหลังในช่วงปลายฤดูฝนความสม่ำเสมอในการเจริญเติบโตของมันสำปะหลังจะต่ำกว่าการปลูกในช่วงต้นฤดูฝน  เนื่องจากการปลูกปลายฤดูฝนมันสำปะหลังจะติดแล้งในช่วงระยะแรกของการเจริญเติบโตอายุ 3-4 เดือน การปลูกในช่วงปลายฤดูฝนจึงแนะนำให้ปลูกในพื้นที่ดินเป็นทรายหรือร่วนปนทราย   ไม่แนะนำให้ปลูกในพื้นที่ดินค่อนข้างเหนียว  ซึ่งเมื่อกระทบแล้งมันสำปะหลังจะตายมาก    และมีในภาคตะวันออกอาจจะเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนตุลาคม – มกราคม เนื่องจากสภาพดินส่วนใหญ่เป็นดินร่วนปนทรายและหากมีการไถดะให้ลึกเพื่อตัดเก็บความชื้นเอาไว้จะช่วยให้ในดินมีความชื้นและปริมาณน้ำฝนที่มากและการกระจายตัวของฝนมากกว่าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
            -  ปลูกต้นฤดูฝน  ตั้งแต่เดือน            ปลายมีนาคม – เมษายน   ในฤดูฝนควรดำเนินการในช่วงเดือนพฤษภาคมให้เสร็จหากปลูกหลังจากเดือนนี้จะมีปัญหาเรื่องวัชพืชที่มีต้นทุนสูงที่สุดในขั้นตอนการปลูกมันสำปะหลังยิ่งทำในพื้นที่มากๆแล้วไม่แนะนำให้ดำเนินการในช่วงเดือนนี้ควรทำในช่วงต้นฤดูฝน

            4. ปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ดี คือ พันธุ์ที่มีการปรับตัวในสภาพแวดล้อมต่าง ๆได้ดี สามารถงอกและมีอัตราการอยู่รอดสูง  เจริญเติบโตดี  สามารถคลุมวัชพืชดี ทรงต้นดี อายุการเก็บต้นพันธุ์หลังการเก็บเกี่ยวได้นาน  ให้ผลผลิตหัวสดและปริมาณแป้งสูง  ในพื้นที่ของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังควรเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกพันธุ์ดีที่เหมาะสมกับดินที่เกษตรกรปลูกเอง  ในปัจจุบันทางราชการได้แนะนำพันธุ์มันสำปะหลังประเภทปลูกส่งโรงงานอุตสาหกรรมให้เกษตรกรขยายพันธุ์ปลูกไปแล้วจำนวน  11  พันธุ์  ได้แก่  พันธุ์ระยอง 1  ระยอง 3  ระยอง 60  ศรีราชา 1 ระยอง 90  เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 5  ระยอง 72   ห้วยบง 60 ระยอง  7  และระยอง 9  ซึ่งแต่ละพันธุ์มีลักษณะเด่น  และด้อยต่างกัน

            5. การใช้ต้นพันธุ์ดี     พันธุ์ที่มีคุณภาพเหมาะสมและวิธีการปลูกที่ถูกต้องผลผลิตหัวสดที่ได้จากการปลูกมันสำปะหลังมีความสัมพันธุ์อย่างมากกับความงอกและจำนวนต้นอยู่รอดจนกระทั่งขุดเก็บเกี่ยว  แต่ส่วนมากนิยมการปลูกแบบปักตรง  ซึ่งได้รับผลผลิตสูงกว่า  ตางอกได้เร็วกว่า  การดูแลรักษาหลังการปลูก  เช่น  การกำจัดวัชพืช  ปัญหาเรื่องแดดเผาต้นไม่มี  การใส่ปุ๋ยตลอดจนการขุดเก็บเกี่ยวทำได้สะดวก    การเลือกท่อนพันธุ์ที่ดีเป็นต้นพันธุ์ที่ใหม่หลังการตัดต้นพันธุ์แล้วควรรีบดำเนินการปลูกภายใน 1 – 2 สัปดาห์ หากขุดมันแล้ว  เกิดภาวะแห้งแล้งไม่เหมาะสมในการปลูก  หากจำเป็นต้องเก็บต้นไว้ปลูกหลายเดือนควรเก็บท่อนพันธุ์ตั้งไว้กลางแจ้งให้โคนต้นถึงพื้นดินทุกต้นและกรบโคนต้นรดน้ำให้ดินมีความชื้นโดยกองละประมาณ 500 ต้น   ต้นมันสำปะหลังจะรักษาน้ำเลี้ยงคงความสดไว้ได้นานกว่า   2 เดือน ต้นพันธุ์ที่เหมาะสมควรคัดต้นที่สมบูรณ์  ตาของท่อนพันธุ์ต้องถี่  ต้นมีสีออกน้ำตาล  หลีกเหลี่ยงการใช้ส่วนที่เป็นโคนต้นและปลายยอดที่มีสีเขียว รวมทั้งลำต้นที่เป็นโพรง    วิธีการสับท่อนพันธุ์เป็นเรื่องที่น่าสนใจและใช้ความระมัดระวังอย่างมาก อย่าให้กระทบกระเทือนตาบนท่อนพันธุ์และแนะนำให้สับตรงหรือเฉียงเล็กน้อย  ไม่ควรสับเฉียงจนแหลมมาก  นอกจากนั้นต้องตัดท่อนพันธุ์ให้มีความยาวที่เหมาะสม คือ ยาวประมาณ 20-25 ซม. การใช้ต้นพันธ์เพื่อปลูก  ถ้าต้นพันธุ์มันสำปะหลังมีความยาวขนาด  1.20 เมตร จะใช้ต้นพันธุ์ประมาณ 500 - 650 ต้นต่อไร่ก็ขึ้นกับพันธุ์ 

            6. วิธีการปลูก
            สำหรับการปลูกมันสำปะหลังในประเทศไทยที่เกษตรกรนิยมปลูกมีด้วยกัน 3 วิธีคือ
            1. การปลูกแบบยกร่อง  2. การปลูกแบบพื้นราบ  3. การปลูกโดยใช้เครื่องจักร

            7. จัดระยะปลูกให้ถูกต้อง                ทุกสภาพดินการปลูกมันสำปะหลังเพื่อเพิ่มผลผลิตสามารถกระทำได้โดยการใช้ระยะปลูกให้เหมาะสมกับชนิดของพันธุ์ที่ใช้   และความอุดมสมบูรณ์ของดิน หลักในการพิจารณาโดยทั่วๆไปที่เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้คนที่มีอาชีพปลูกมันสำปะหลังสำปะหลังก็คือ   “ดินเลวปลูกถี่  ดินดีปลูกห่าง”   ความนิยมของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่โดยจะมีระปลูกโดยทั่วไปเช่น ระยะ1.0 x1.0 เมตรใช้ท่อนพันธุ์  1,600 ท่อน 1.2 x 0.8 เมตร(1,600 ท่อนปลูกระยะถี่1.0 x 0.8 เมตร(2,400 ท่อน ) ในบางครั้งจะเห็นว่าเกษตรกรนั้นปลูกระถี่กว่านี้จะใช้ระยะ 1.2 x 0.3-0.7 เมตร  ขึ้นกับพันธุ์ที่ใช้ปลูก               

            8. การกำจัดวัชพืช     นอกจากปัญหาเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของดินแล้ว  ปัญหาวัชพืชหรือทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เรียกว่า “รุ่น”   เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังลดลงตลอดฤดูฝน  ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในการปลูกและดูแลรักษาเกิดจากการป้องกันกำจัดวัชพืช  โดยเฉพาะในระยะ 1-4 เดือนแรกของการปลูกเกษตรกรต้องหมั่นตรวจแปลงปลูกทุก 15 วัน  เพื่อแก้ปัญหาวัชพืชโดยใช้หลักป้องกันไว้ก่อน  การแก้ปัญหาล่าช้า  ปล่อยให้วัชพืชแข็งแรง   เจริญเติบโตจนกระทั่งออกดอก  จะกำจัดทำลายยากและยืดเยื้อ ใช้ต้นทุนสูง  ทำให้มันสำปะหลังแคระแกรน  ผลผลิตต่ำ  การปลูกมันสำปะหลังในช่วงปลายฤดูฝนซึ่งตรงกับหน้าแล้ง   ปัญหาวัชพืชจะไม่รุนแรง

            9. การเพิ่มผลผลิตโดยการใช้ปุ๋ยเคมี  การใส่ปุ๋ยเคมีให้ทันเวลาหมายถึงการใส่ปุ๋ยเคมีหลังปลูก  เพื่อใส่ปุ๋ยเนื่องจากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของเกษตรกรส่วนใหญ่ทำในพื้นที่หลายไร่จึงจำเป็นต้องเริ่มใส่ปุ๋ยให้เร็วเพราะจะทำให้มันสำปะหลังเจริญเติบได้เร็วสามารถคลุมวัชพืชได้เร็วและจะช่วยลดปัญหาการชะล้างพังทะลายของดินซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์แล้วยังจะช่วยลดการกำจัดวัชพืชได้ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้

            10. ขุดเก็บเกี่ยวให้ถูกฤดูกาลในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่ขุดระหว่าง 8-12 เดือน มันสำปะหลังสังเกตุจากมันจะเริ่มทิ้งใบ โดยใช้เครื่องจักรหรือแรงงานคน ส่วนใหญ่จะเริ่มขุดในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ถึงเดือนเมษายนเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากมันจะได้อายุครบ12 เดือนหรือใกล้เคียง       อีกช่วงหนึ่งที่มีการขุดหัวมันขายมากก็ในช่วงเดือนกันยายน- ตุลาคมหรือเรียกว่ามันที่ปลูกปลายฤดูฝน  หากช่วงไหนราคามันไม่ดีหรือมีแปลงขนาดใหญ่ที่มีการหมุนเวียนการปลูกภายในฟาร์มขนาดใหญ่ก็ไม่จำเป็นที่จะขุดที่ 12 เดือนเป็นหลักอาจจะยืดอายุการขุดออกไปถึง15-18เดือนเนื่องจากอายุ ยิ่งมาก  ผลผลิตก็ยิ่งสูงขึ้นก็ขึ้นกับปริมาณน้ำฝน

การเตรียมพื้นที่
การปลูกแบบพื้นราบ
การปลูกแบบยกร่อง
     
การใช้สารบำรุงดินข่วยให้มันงอกดีสม่ำเสมอ
กำจัดวัชพืขในแปลงให้สะอาดช่วง 1-4 เดือน
ลำต้นสีน้ำตาลตาถี่

 

 
คณะผู้วิจัย:
ประภาส ช่างเหล็กและสุดประสงค์ สุวรรณเลิศ
สถาบันค้นว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โทร. 08-1930-0306