ได้รับรางวัล ผลงานวิชาการดีเด่น(การนำเสนอผลงานด้านโปสเตอร์) ประจำปี พ.ศ. 2550
จากการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกแห่งชาติครั้งที่ 4 งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 4 ของกระทรวงสาธารณสุข
หลักการเหตุผล
หนอนตายหยากเป็นพืชวงศ์ Stemonaceae เป็นไม้เลื้อยมีรากใต้ดินจำนวนมาก เมื่อถึงฤดูแล้งต้นจะโทรมลงครั้นถึงฤดูฝนก็จะเจริญเติบโตและแทงหน่อขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังเป็นพืชที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูง ชาวบ้านรู้จักนำมาใช้ประโยชน์นานแล้ว เช่น การฆ่าเห็บเหาในสัตว์ประเภทโคและกระบือ บางชนิดใช้ฆ่าหนอน หรือใส่ในไหปลาร้าเพื่อป้องกันหนอนแมลงวันและแมลงศัตรูพืช สำหรับหนอนตายหยาก(Stemona colinsae Craib.) ในขั้นตอนของการขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสามารถทำได้ดี แต่ในขั้นตอนของการชักนำให้ออกรากทำได้ค่อนข้างยากและอัตราการรอดชีวิตหลังการย้ายปลูกมีน้อย ดังนั้นจึงต้องหาวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการชักนำรากและทำให้อัตราการรอดชีวิตหลังการย้ายปลูกเพิ่มมากขึ้น
วิธีดำเนินการ
1.การเพิ่มประสิทธิภาพการชักนำรากหนอนตายหยากในสภาพปลอดเชื้อ
นำต้นหนอนตายหยากที่เพิ่มปริมาณบนอาหารสูตร Murashige and Skoog (MS) ใส่ benzyladenine (BA) 2 มก./ล ตัดต้นที่มีขนาด 2-3 ซม. มาวางบนอาหารสูตรทดลองเพิ่มปริมาณโปแตสเซียมไนเตรท (KNO3) ลดปริมาณแอมโมเนียมไนเตรท (NH4NO3) ในสูตรอาหารพื้นฐาน MS โดยลด NH4NO3 ให้เหลือเพียง 412.5 มก./ล เพิ่ม KNO3 เป็น 2375 , 2850 มก./ล เติมน้ำตาล 30 , 60 กรัม/ล และ 4-(indole-3-yl) butyric acid (IBA) 1 , 2 มก./ล. เปรียบเทียบกับสูตรควบคุม อีก 2 สูตร รวมทั้งหมด 10 สูตร บันทึกการเจริญเติบโต
2.การปรับสภาพและศึกษาการเจริญเติบโตของต้นหนอนตายหยากจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหลังการย้ายปลูก
นำต้นกล้าหนอนตายหยากที่ถูกชักนำให้ออกราก ไปตั้งไว้ในโรงเรือน 5-7 วัน เพื่อทำการปรับสภาพและย้ายปลูกลงวัสดุปลูกที่มีทราย : ขุยมะพร้าว อัตราส่วน 4:3 นำต้นกล้าเก็บไว้ในกระโจมที่ให้น้ำบนหลังคาเพื่อรักษาความชื้น 70-80% ประมาณ 1 สัปดาห์
ผลการศึกษา
1. การเพิ่มประสิทธิภาพการชักนำรากหนอนตายหยากในสภาพปลอดเชื้อ
พบว่าการลด NH4NO3 ให้เหลือเพียง 412.5 มก./ล เพิ่ม KNO3 เป็น 2375 มก./ล เพิ่มน้ำตาล 60 กรัม/ล และเติม IBA 1 มก./ล ในสูตรอาหารพื้นฐาน MS สามารถชักนำหนอนตายหยาก ให้ออกรากได้ 100 %
2.การปรับสภาพและศึกษาการเจริญเติบโตของต้นหนอนตายหยากจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหลังการย้ายปลูก
พบว่าการย้ายปลูกช่วงฤดูหนาวต้นกล้าที่เก็บไว้ในกระโจมเพื่อรักษาความชื้น สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ แต่ไม่มีการแตกหน่อใหม่เพิ่มเติมหรือแม้แต่ยอดเก่าที่มีอยู่แล้วตายอดก็ไม่ยืดยาวออกมา ส่วนสีของใบยังเขียว เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 28-30°ซ จึงเริ่มมีการเจริญเติบโตตามปกติ สำหรับการย้ายปลูกในฤดูอื่นต้นกล้าสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ หลังการย้ายปลูก 2-3 เดือน ต้นกล้ามีหน่ออ่อนเกิดขึ้นใหม่ ใบมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิม ส่วนที่บริเวณเหง้ามีรากเพิ่มขึ้นและเริ่มมีการสร้างรากสะสมอาหารได้
สรุป
การชักนำรากหนอนตายหยาก(Stemona colinsae Craib.)ในสภาพปลอดเชื้อและทำให้มีอัตราการรอดชีวิตหลังการย้ายปลูกสูง สามารถทำได้โดยการใช้กลไกการลดไนโตรเจน เพิ่มโพแทสเซียมและน้ำตาล เติม IBAในสูตรอาหารพื้นฐาน MS ควบคู่กับการใช้วิธีการปรับสภาพและวัสดุปลูกที่เหมาะสม
 |
 |
 |
ดอกหนอนตายหยาก(Stemona colinsae Craib.) |
ลักษณะต้นกล้าและรากหนอนตายหยาก
ในอาหารสูตร M๑-M๘ จากซ้ายไปขวา |
ต้นกล้าที่ย้ายออกมาปลูกในโรงเรือน
นาน ๓-๔ เดือน |
|