แผนพัฒนากีฬาแห่งชาติตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2531 พ.ศ.2549)
และ ยุทธศาสตร์ 4 ปี สร้างกีฬาชาติ ซึ่งได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่
กันยายน 2547 ได้มีเป้าหมายหลักของการพัฒนาอย่างชัดเจนใน 6 แผนงานหลักคือ
แผนพัฒนากีฬาขั้นพื้นฐาน แผนพัฒนากีฬาเพื่อมวลชน แผนพัฒนากีฬาเพื่อความเป็นเลิศ
แผนพัฒนากีฬาเพื่ออาชีพ แผนพัฒนาเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การกีฬา และแผนพัฒนาการบริหารจัดการทางการกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย, 2547) ตลอดระยะเวลาของการนำแผนสู่การปฏิบัติ
ผลจากการประเมินแผนงานทั้ง 6 แผนหลัก ทำให้ทราบว่า ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์เท่าที่ควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนพัฒนากีฬาเพื่อมวลชน หรือแผนพัฒนากีฬาเพื่อสุขภาพ
ในเป้าหมายของการเพิ่มจำนวน ของคนไทยทุกเพศและทุกวัยในการออกกำลังกาย
ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ภายในปี พ.ศ. 2549 คนไทยจะออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอ
60% แต่จากผลการสำรวจของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 พบว่าคนไทยทุกเพศทุกวัยมีการออกกำลังกายและเล่นกีฬาอย่างสม่ำเสมอเพียง
30.45% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ได้วางไว้อยู่มาก
ด้วยเหตุดังกล่าวผู้วิจัยจึงมีความประสงค์จะสร้างแบบวัดแรงจูงใจในการออกกำลังกายเพื่อนันทนาการขึ้น
เพื่อจะได้ใช้แบบวัดดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการสำรวจแรงจูงใจในการออกกำลังกาย
และนำข้อมูลมาเป็นพื้นฐานในการวางนโยบายตลอดจนสร้างแนวทางการปฏิบัติเพื่อสร้างทัศนคติและความรักในการออกกำลังกายเพื่อจะไปสู่เป้าหมายของการเพิ่มจำนวนผู้ออกกำลังกายตามแผนพัฒนากีฬาชาติต่อไป
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้สร้างแบบวัดโดยยึดกรอบแนวความคิดที่เกี่ยวกับแรงจูงใจในการออกกำลังกายเพื่อนันทนาการออกเป็น
8 ด้าน จำนวนทั้งสิ้น 73 ข้อ ดังนี้คือ
- ต้องการมีทักษะการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง (10 ข้อ) (Morris , 1995)
- ต้องการมีสภาวะทางกายที่ดี (8 ข้อ)
- ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (8 ข้อ)
- ต้องการมีสภาวะทางจิตที่ดี (9 ข้อ)
- ต้องการมีรูปร่างทรวดทรงที่ดี (9 ข้อ)
- ต้องการให้เป็นไปตามความคาดหวังของผู้อื่น (8 ข้อ)
- ต้องการความสนุกสนาน เพลิดเพลิน (8 ข้อ)
- ต้องการการแข่งขันกับผู้อื่น (13 ข้อ)
ผู้วิจัยได้ใช้
Translation and Back Translation Techniques โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ
2 ภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และมีความเชี่ยวชาญในสาขาจิตวิทยาการกีฬาและการออกกำลังกาย
เน้นทางด้านแรงจูงใจ จำนวน 6 คน เพื่อตรวจสอบความแม่นตรงเชิงเนื้อหา
และได้นำแบบวัดดังกล่าวไปหาค่าความเชื่อมั่นได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดทั้งฉบับเป็น
0.918 แบบวัดแรงจูงใจในการออกกำลังกายเพื่อนันทนาการจะเป็นแบบวัดที่ใช้อัตราวส่วนประมาณค่า
(rating scale) เป็น 5 ระดับ คือ มีแรงจูงใจน้อยที่สุด (1) มีแรงจูงใจน้อย
(2) มีแรงจูงใจปานกลาง (3) มีแรงจูงใจมาก (4) และมีแรงจูงใจมากที่สุด
(5) สำหรับการให้คะแนนและการแปรผลนั้นก็จะเป็นไปตามข้อกำหนดของการใช้แบบวัดดังกล่าว
|