จากแนวคิดที่ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยคำนึงถึงแนวการพิจารณาถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนนั้น
จึงจำเป็นที่ต้องพิจารณาถึงความตระหนักของคนในชุมชนว่ามีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใดเพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างนิเวศน์วิทยาและการพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชนไปพร้อม
ๆ กัน โดยที่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยคำนึงถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและความสูญเสียไปของสิ่งแวดล้อมจะก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในส่วนของครัวเรือน
ชุมชน ภูมิภาคและประเทศ แต่อย่างไรก็ตามความตระหนักของคนในชุมชนย่อมแตกต่างกันไปเนื่องจาก
ความแตกต่างในเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเชื่อ และศาสนา รวมทั้งกฎ ข้อบังคับและแนวทางปฏิบัติที่กำหนดภายในชุมชนเองและที่กำหนดโดยหน่วยงานของรัฐ
ส่งผลให้แนวทางในการปฏิบัติต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีผลต่อคุณภาพและปริมาณของสิ่งแวดล้อมต่างกันด้วย
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 4 ประการได้แก่ 1) เพื่อทบทวนมาตรการหรือมาตรฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน
โดยคำนึงถึงการรักษาไว้ของคุณภาพของสิ่งแวดล้อม โดยไม่มีการทำลายสิ่งแวดล้อมหรือก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเพื่อใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการพิจารณาการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
2) เพื่อศึกษาแนวทางปฏิบัติของเกษตรกรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยศึกษาในลักษณะเปรียบเทียบของเกษตรกรที่แตกต่างกันในด้านเผ่าพันธุ์
3) เพื่อสร้างมาตรวัดหรือดรรชนีของความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
และ 4) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของเกษตกรเพื่อก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มีด้วยกัน
2 ส่วนได้แก่ 1) ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้จากการประเมินชุมชนอย่างเร่งด่วน
(Rapid Rural Appraisal, RRA) โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก ครัวเรือนหรือการสัมภาษณ์แบบรายตัว
โดยใช้แบบสอบถามเชิงลึก เพื่อให้ได้ภาพรวมของหมู่บ้านและข้อมูลพื้นฐานของแต่ละครัวเรือน
และ 2) ข้อมูลทุติยภูมิ เป็นข้อมูลที่ได้รวบรวมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานราชการและหน่วยงานที่ไม่ใช่ราชการ
ที่อยู่ในส่วนภูมิภาคและในส่วนกลาง โดยประชากรและพื้นที่ศึกษาในการวิจัยนี้ประกอบด้วยประชากร
3 เผ่าพันธุ์ คือ 1) ชนเผ่ามูเซอ (Lahu) ณ หมู่บ้านบ่อไคร้ 2) ชนเผ่าไทยใหญ่
(Shan) ณ หมู่บ้านแม่ละนา ซึ่งทั้งสองหมู่บ้านอยู่ในตำบลปางมะผ้า อำเภอปางมะผ้า
จังหวัดแม่ฮ่องสอน และ 3) ชนเผ่ากะเหรี่ยง (Karen) ณ หมู่บ้านเมืองแพม
ในตำบลถ้ำลอด อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งทั้งสามหมู่บ้านมีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกัน
ในการวิจัยนี้จะใช้การวิเคราะห์ 2 ประเภทได้แก่ 1) การวิเคราะห์เชิงพรรณนา
(descriptive analysis) เป็นการอธิบายผลการศึกษาโดยใช้ ตารางร้อยละ
และ ค่าเฉลี่ย เพื่อตอบวัตถุประสงค์ที่ 1 และ 2 การวิเคราะห์ส่วนที่
2 การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (quantitative analysis) เป็นการวิเคราะห์โดยใช้มาตรวัดความตระหนักหรือดัชนีเพื่อชี้วัดระดับความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม
(Environmental Concern Scale: ECS) ของ Van Liere and Dunlap เพื่อตอบวัตถุประสงค์ที่
3 และใช้การวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติในเรื่องการวิเคราะห์ตัวแปรเชิงคุณภาพเพื่อตอบวัตถุประสงค์ที่
4
ผลการศึกษาเพื่อทบทวนมาตรการหรือมาตรฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน
พบว่าวิธีการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยใช้ในปัจจุบันมีวิธีการจัดการดังต่อไปนี้
คือ 1) การให้การศึกษา หรือ การสอนให้เข้าใจถึงหลักการและวิธีการอนุรักษ์
การมีจริยธรรม การปลูกจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2) การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
3) ใช้กฎหมายหรือพระราชบัญญัติควบคุมการใช้ทรัพยากรสำหรับผลการศึกษาทางด้านแนวทางปฏิบัติของเกษตรกรในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยศึกษาในลักษณะเปรียบเทียบของเกษตรกรที่แตกต่างกันในด้านเผ่าพันธุ์
พบว่าหมู่บ้านทั้งสามมีการจัดแบ่งเขตของที่ดินอย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัย
พื้นที่ทางการเกษตรและพื้นที่ป่าโดยเป็นป่าใช้สอย ป่าต้นน้ำหรือป่าอนุรักษ์ที่ไม่อนุญาตให้ทำกิจกรรมใดๆ
นอกจากนี้ทั้งสามหมู่บ้านยังมีการเขียนบทลงโทษสำหรับผู้ที่ลักลอบตัดไม้หรือทำลายป่าไว้อย่างชัดเจน
โดยหมู่บ้านแม่ละนาซึ่งเป็นหมู่บ้านไทยใหญ่และหมู่บ้านเมืองแพมซึ่งเป็นหมู่บ้านกระเหรี่ยงนอกจากมีการใช้วิธีการแบบการสั่งการและการควบคุมแล้วยังได้มีการปลูกจิตสำนึกให้กับลูกหลานในการอนุรักษ์ป่าโดยผ่านระบบการปกครอง
วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อ เช่น การสั่งสอนของผู้ปกครองโดยผ่านกิจกรรมของครัวเรือนและการสอนผ่านบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับบุญคุณของป่า
ในส่วนการจัดการด้านทรัพยากรน้ำนั้นมีเพียงหมู่บ้านเมืองแพมที่มีการจัดการด้านนี้โดยเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลา
รวมทั้งมีการใช้พิธีกรรมเพื่อป้องกันการทำลายทรัพยากรป่าและน้ำด้วย
นอกจากนี้ยังพบว่าหมู่บ้านเมืองแพมซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่ากระเหรี่ยงมีดัชนีชี้วัดความตระหนักทางด้านสิ่งแวดล้อมระดับสูงสุด
อันดับที่สองได้แก่หมู่บ้านแม่ละนาซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าไทยใหญ่และอันดับสุดท้ายได้แก่หมู่บ้านบ่อไคร้ซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่ามูเซอ
และปัจจัยที่มีผลต่อมาตรวัดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของเกษตรกรในชุมชน
ได้แก่ปัจจัยด้านสามัญสำนึกและการรับรู้ด้านข่าวสารเกี่ยวกับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมโดยที่มีผลในเชิงบวกกับมาตรวัดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยรายได้ของครัวเรือนหรือเกษตรกรมีผลเชิงลบกับมาตรวัดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม
เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของครัวเรือนมาจากรายได้จากภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร
โดยที่รายได้ที่ได้จากป่ามีจำนวนน้อย และชนเผ่ากระเหรี่ยงและไทยใหญ่จะมีพฤติกรรมมีผลต่อความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าโดยเปรียบเทียบกับชนเผ่ามูเซอ
กล่าวโดยสรุปผลของการวิเคราะห์เชิงพรรณนาและเชิงปริมาณให้ผลที่สอดคล้องกันที่ว่าชนเผ่าที่แตกต่างกันมีผลต่อความตระหนักในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างกัน
โดยที่ชนเผ่ากระเหรี่ยงจะเป็นกลุ่มที่มีความตระหนักระดับสูงที่สุด
ในขณะที่ชนเผ่ามูเซอมีความตระหนักทางด้านสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ส่วนชนเผ่าไทยใหญ่จะมีความตระหนักในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยกว่าชนเผ่ากระเหรี่ยงแต่สูงกว่าชนเผ่ามูเซอ
ดังนั้นการที่คนในชุมชนจะมีความตระหนักในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการสร้างจิตสำนึกโดยผ่านการปฏิบัติของครัวเรือนหรือชุมชนเป็นสำคัญ
นอกจากนี้การได้รับรู้ข่าวสารด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมีผลต่อความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของครัวเรือนหรือของคนในชุมชนเช่นกัน
จากผลการศึกษาพบว่าการได้รับรู้ข่าวสารด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การสร้างจิตสำนึกมีผลต่อความตระหนักในการใช้ทรัพยากร ดังนั้นรัฐบาลควรให้ความรู้โดยวิธีการอย่างง่ายที่ชุมชนสามารถเข้าใจได้ในด้านการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแก่คนในชุมชนหรือสร้างกิจกรรมหรืองานประเพณีต่างๆ
ร่วมกันกับชุมชนเพื่อให้คนเหล่านั้นมีความตระหนักทางด้านการใช้ทรัพยากรมากขึ้น
นอกจากนี้ การวางแผนนโยบายในการส่งเสริมการรักษาและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่สูงภาคเหนือของประเทศไทย
รัฐบาลควรเข้าใจความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณีและศาสนา รวมทั้งกฎข้อบังคับและแนวทางปฏิบัติที่กำหนดภายในชุมชนต่างๆ
ที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและควรนำชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนร่วมกันกับภาครัฐแทนการจัดการโดยกำหนดขึ้นจากภาครัฐเอง
|