นำหน่ออ่อนจากต้นขิงแดงมาฟอกฆ่าเชื้อที่ผิวด้วยสารละลายคลอร็อกซ์ แล้วจึงลอกกาบหุ้มใบออก
ทำการเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อในอาหารแข็งสูตร MS ซึ่งเติม BA (benzyl
adenine) ความเข้มข้น 1-2 มก.ต่อลิตร เพื่อการชักนำให้เกิดต้นจำนวนมาก
จากนั้นจึงตัดแบ่งเพิ่มปริมาณต้นในสภาพปลอดเชื้อ จนกระทั่งมีปริมาณต้นมากพอจึงนำมาใช้ในการฉายรังสี
นำต้นอ่อนขิงแดงที่ผ่านการตัดแบ่งและเปลี่ยนอาหารใหม่ อายุ 2 สัปดาห์
มาฉายรังสีแบบเรื้อรัง (chronic) โดยวางที่ชั้นมีแสงความเข้มประมาณ
2,000 ลักซ์ ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีที่ระยะ 2 เมตร ปริมาณรังสีเริ่มต้น
104.3 rad/hr ได้รับรังสีแกมมาเป็นเวลานาน 168 ชั่วโมง คิดเป็นปริมาณรังสีแกมมา
17,522 rad (175.22 Gy) ทำการตัดแบ่งและเปลี่ยนอาหารทุกๆ 2 เดือน ไม่พบการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
จึงนำมาทำการฉายรังสีแบบเรื้อรังซ้ำอีกครั้งหนึ่งโดยวางต้นขิงในสภาพปลอดเชื้อ
ให้ห่างจากแหล่งกำเนิดรังสีแกมมา 1.5 เมตร ปริมาณรังสีเริ่มต้น 168.5
rad/hr ได้รับรังสีแกมมาเป็นเวลานาน 148 ชั่วโมง คิดเป็นปริมาณรังสีแกมมา
24,938 rad (249.38 Gy) ต้นขิงแสดงอาการใบด่างหลังจากที่นำมาตัดแบ่งเปลี่ยนอาหารครั้งที่
2 (อายุ 4 เดือน) พบมีต้นขิงที่แสดงอาการใบด่างในอัตราร้อยละ 19.1
โดยอาการใบด่างจะยังปรากฏให้เห็นแม้ว่าจะตัดใบออกเพื่อย้ายเปลี่ยนอาหารใหม่
นอกจากลักษณะของอาการใบด่างที่เกิดขึ้น ยังพบว่าร้อยละ 7.3 ของต้นขิง
แสดงอาการแคระแกร็น ต้นเตี้ยใบลีบเล็ก ทั้งนี้จะทำการตัดแบ่งเปลี่ยนอาหารต่อไปทุกๆ
2 เดือน เมื่ออาการใบด่างยังคงปรากฏอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง จึงจะทำการย้ายปลูกต่อไปเพื่อศึกษาลักษณะของดอกและความคงที่ของความผันแปรทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำโดยการฉายรังสีแกมมา
ภาพแสดงลักษณะของอาการใบด่างแบบต่างๆ
ของต้นขิงแดงที่เพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ และนำไปฉายรังสีแกมมาแบบเรื้อรัง
2 ครั้ง ปริมาณรังสีที่ได้รับเท่ากับ 175.22 Gy และ 249.38 Gy
|