พลับที่ปลูกอยู่ทั่วโลก (รวมทั้งประเทศไทยด้วย)
มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ พลับหวาน และ พลับฝาด
1. พลับหวาน คือ พลับที่สามารถรับประทานได้ทันทีหลังจากเก็บเกี่ยว
เมื่อเก็บเกี่ยวในระยะที่แก่เต็มที่จะได้รสหวาน-กรอบ
2. พลับฝาด คือ พลับที่ต้องนำไปผ่านขบวนการขจัดความฝาดหลังจากเก็บเกี่ยวในระยะที่แก่เต็มที่
ก่อนที่จะนำมาบริโภค
สิ่งที่ทำให้เกิดความฝาดในผลพลับคือสารที่เรียกว่าแทนนิน
เมื่อรับประทานพลับที่ยังไม่ได้ขจัดความฝาดเข้าไป สารแทนนินจะละลายในปาก
ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความฝาด แต่ความฝาดนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด
(เช่นเดียวกันเมื่อรับประทานกล้วยดิบก็จะมีรสฝาดเกิดขึ้น)
สารแทนนินในผลพลับเป็นสารชนิดเดียวกับสารที่ทำให้เกิดความฝาดในรสชาติแห่งไวน์จากองุ่นแดงพันธุ์ดีและในรสชาติแห่งใบชาที่ได้ดื่มกินกันมาเป็นเวลาหลายพันปี
นอกจากคุณสมบัติของ แทนนิน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้พลับมีรสฝาดแล้ว
ยังสามารถนำมาสกัดเป็นสารที่ใช้ประโยชน์ได้ในหลาย ๆ ทางด้วยกัน เช่น
ป้องกันการยุ่ยหรือสลายของกระดาษในอุตสาหกรรมการทำร่ม ใช้ย้อมแหหรืออวนให้เหนียวทนทานได้นานปี
ใช้เป็นตัวเร่งการตกตะกอนในอุตสาหกรรมทำเหล้าสาเก ทำให้เหล้าใสและมีรสกลมกล่อม
เป็นต้น
กว่าจะมาเป็น พลับที่หายฝาด
การขจัดความฝาด คือการทำให้สารแทนนินที่อยู่ในผลพลับซึ่งอยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ให้เปลี่ยนไปอยู่ในรูปที่ไม่ละลายน้ำ
เมื่อรับประทานสารแทนนินก็จะไม่ละลายในปาก จึงทำให้ผู้บริโภครับรู้แต่รสหวานของพลับ
และโดยธรรมชาติแล้วพลับจะหายฝาดได้เองเมื่อปล่อยให้ผลสุกนิ่ม
การขจัดความฝาดของพลับสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
1. การแช่ในน้ำปูนใส
2. การบ่มด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
3. การบรรจุสุญญากาศ