แก้วเจ้าจอมไม้พุ่มสวยและมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
Lignum Vitae is the beautiful burh and Historical novelty

          แก้วเจ้าจอม ชื่อสามัญ Lignum Vitae ชื่อวิทยาศาสตร์ Guaiacum Officinale Linn เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์ ZYGOPHYLLACEAE เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ปัจจุบันต้นกำเนิดต้นนี้มีอายุมากกว่า 100 ปี และมีอยู่ต้นเดียวในประเทศไทย เป็นต้นไม้หายาก ตามประวัติศาสตร์ระบุว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงได้พันธุ์มาเมื่อคราวเสด็จประพาสประเทศอินเดีย มาปลูกไว้ในวังสวนสุนันทา ปัจจุบันคือ “มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา” ต้นแก้วเจ้าจอม มีลักษณะใบประกอบ 2 คู่ ได้ถูกจัดลำดับเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์ในบัญชี 2 ภายใต้พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2525 กรมส่งเสริมการเกษตร ศาสตาจารย์เต็ม สมิตินันท์ ผู้เชียวชาญด้านพฤษศาสตร์ เป็นผู้ตั้งชื่ต้นไม้ชนิดนี้ว่า “ แก้วเจ้าจอม ” หรือ “น้ำอบฝรั่ง “ และนอกจากนี้ยังมีชนิดใบประกอบ 3 คู่ ซึ่งเป็นไม้พุ่มสวย มีลักษณะ ใบประกอบ 3 คู่ปลูกไว้ ณ ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ปัจจุบันต้นไม้ต้นนี้มีอายุ 26 ปี

         ลำต้น : เป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 3 – 12 เมตร มีลักษณะคดงอ เนื้อไม้แข็งมาก กิ่งก้านมีปุ่มปม เปลือกของต้นสีเทาเข้ม บางแห่งเปลือกแตก ต้นแตกใบเป็นพุ่มแผ่กว้างทรงกลม เรือนยอดทึบ
         ใบ : ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 2-3 คู่ และ 4 - 5 คู่ ใบประกอบยาว 1 – 1.5 เซนติเมตร ก้านประกอบยาว 0.5 – 1.0เซนติเมตร ใบย่อยไม่มีก้านใบมีจุดเล็กๆสีส้มที่โคนใบย่อยด้านบน รูปไข่กลับ หรือรูปรีเบี้ยวเล็กน้อยมี 4 ชนิด คือใบย่อย 2 คู่ , 3 คู่ , 4 คู่ และใบย่อย 5 คู่ ปลายใบมน ขอบเรียบ ใบย่อยคู่ปลายสุดมีขนาดใหญ่ ใบย่อยคู่ถัดลงมาเล็กไล่ขนาดลงไป เนื้อใบเหนียวและหนาเล็กน้อย ผิวของใบเป็นมันสีใบเขียวเข้ม
         ดอก : สีฟ้าอมม่วง ดอกเดี่ยวออกเป็นกระจุก ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ มีกลีบดอก 5 กลีบ เกสรตัวผู้สีเหลืองประมาณ 8 – 10 เส้น ดอกแก่จะมีสีจางลงเมื่อใกล้โรยประมาณ 3 – 5 วัน มีกลิ่นหอม
         ผล : สีเหลือง รูปหัวใจกลับ มี 4 – 5 พู แต่ละพูมี 1 – 2
         เมล็ด : มีลักษณะรูปร่างกลมรี หรือรูปไข่ สีน้ำตาลเข้ม
         ออกดอก : เดือนสิงหาคม – ตุลาคม และเดือนธันวาคม – เมษายน
         การขยายพันธุ์ : เมล็ด ตอนกิ่ง หรือปักชำ
         สถานที่เหมาะสม สภาพอากาศที่เหมาะสม คือ ร้อนชื้น อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 20 – 30 องศาเซลเซียส ปริมาณระดับน้ำทะเล 1,200 – 1,800 มิลลิเมตร มีฝนกระจายเป็นเวลาหลายเดือน และมีแสงแดดอย่างเพียงพอตลอดปี สภาพดินร่วนโปร่ง มีการระบายน้ำดี ทนต่อสภาพดินเค็ม


ประโยชน์

  1. พุ่มสวยเหมาะปลูกเป็นไม้ประดับสนามกว้างๆ ให้ร่มเงา
  2. เป็นเนื้อไม้ที่หนักที่สุดในโลก และแข็งมาก เป็นมัน คุณสมบัติเนื้อไม้มีลักษณะเป็นเส้นประสานกันแน่น และหนักมาก ไม้ชนิดนี้จมน้ำ ทนต่อแรงอัด และน้ำเค็ม จึงนิยมนำใช้ทำกรอบประกับเพลาเรือเดินทะเล ทำสิ่ว และนำมากลึงทำของใช้ต่างๆ เช่น ทำลูกโบว์ลิ่ง ทำรอก เป็นต้น
  3. ใช้เป็นยาสมุนไพรจากทุกส่วนของลำต้น โดยเฉพาะยางจากเนื้อไม้ในธรรมชาติ มีสีน้ำตาลอมเขียว ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาโรค


สรรพคุณการใช้เป็นยาสมุนไพร

         ใช้เป็นยาสมุนไพรกันอย่างกว้างขวาง รักษาโรครูมาติซัมเรื้อรัง โรคไขข้ออักเสบ ปวดประจำเดือน โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคเกาต์ ใช้เป็นยาตรวจคราบเลือดในนิติเวชวิทยา เรียกว่า Gum Guaiacum แถบอเมริกาใต้ อินเดีย อินเดียตะวันตก และฟรอดิดา ฯลฯ นอกจากนี้มีการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆเฉพาะส่วนดังนี้ ยางไม้ ใช้เป็นยาขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ แก้ข้ออักเสบ หรือทำเป็นยาอมแก้หลอดลมอักเสบ น้ำคั้นจากใบ กินแก้อาการท้องเฟ้อ เปลือก เป็นยาระบาย ผงชาจากดอก เป็นยาบำรุงกำลัง


 

อุดม แก้วสุวรรณ์ บุญรอด ศรีบุญเรือง สมร มณีเนตร สุดใจ วรเลข
งานเรือนปลูกพืชทดลอง ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง
สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นครปฐม
โทร 034–351-399 ต่อ 447 หรือ 3682-3 ต่อ 447