ชุมชน
บ้านยางทอง ต.บางเจ้าฉ่าเป็นชุมชนที่มีการผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น กระเป๋า
กระบุง ตะกร้า และเครื่องใช้ กระบวนการหนึ่งที่สำคัญในการผลิตคือการอบผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ความร้อนจากการเผาฟางเพื่อป้องกันเชื้อรา
ซึ่งยังใช้วิธีการอบแบบดั้งเดิม โดยให้คนหมุนผลิตภัณฑ์ไปมาในห้องอบที่มีการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์
เพื่อให้เกิดควันในการอบผลิตภัณฑ์จนความชื้นหมดไป ด้วยวิธีการดังกล่าวทำให้ส่ง
ผลกระทบต่อสุขภาพของคนอบ ที่เริ่มมีอาการไอ เจ็บคอ และเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอด
เกษตรกรได้พยายามแก้ไขปัญหาในการอบผลิตภัณฑ์หลายวิธี เช่น การปิดตู้อบให้มิดชิดเพื่อให้ความร้อนอยู่ตัว
หรือ การแขวนผลิตภัณฑ์บนไม้ขณะอบ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เกษตรกรจึงยังจำเป็นต้องใช้วิธีการผลิตที่ยังไม่เหมาะสมอยู่
จากปัญหาดังกล่าว คณะผู้วิจัยเห็นว่าควรพัฒนาห้องอบผลิตภัณฑ์ที่เกษตรกรสามารถทำงานได้โดยไม่เกิดปัญหาต่อสุขภาพ
และสามารถเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจ
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการชนิดมีส่วนร่วม (participatory
action research) ระหว่างนักวิชาการในสถานศึกษา สถาบันส่งเสริมทางการเกษตร
และองค์กรท้องถิ่น เสริมด้วยกระบวนการทดลอง (experimental research)
เพื่อพัฒนารูปแบบห้องอบผลิตภัณฑ์ที่ดีและเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
มีการติดตามผล ให้คำปรึกษาและประเมินผลในภาพรวม กลุ่มเป้าหมายคือเกษตรกรชุมชนบ้านยางทอง
ต.บางเจ้าฉ่า และเกษตรกรเครือข่าย ในจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท
ลพบุรีและพระนครศรีอยุธยา จำนวน 500 คน
ผลการวิจัย
1.ผลการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นระหว่างนักวิชาการและกลุ่มแม่บ้านสตรีจักสานได้นำไปสู่การออกแบบตู้อบผลิตภัณฑ์
3 แบบ ดังนี้
2. ผลการทดลองพบว่า ตู้อบผลิตภัณฑ์ แบบ A ยังไม่เหมาะสมเท่าที่ควร
เนื่องจากมีอัตราของควันไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงฟุ้งอยู่ในอากาศ ในระดับที่ผู้อบสูดควันได้
ส่วนตู้อบผลิตภัณฑ์ แบบ B พบว่าเหมาะสมเนื่องจากไม่มีการคลุ้งของควันไฟ
เนื่องจากควันไฟถูกบังคับให้ลอยขึ้นสู่ที่สูงในรัศมีที่เกินจากศีรษะ
แต่ต้องปรับหลังคาจากทรงหงายให้เป็นทรงจั่ว เพื่อให้ควันไม่ไหลออกจากห้องอบผลิตภัณฑ์เร็วเกินไป
เพราะจะเป็นสาเหตุให้เสียเชื้อเพลิงจำนวนมาก รวมทั้งเจาะตู้เพื่อให้สามารถใส่ถาดวางผลิตภัณฑ์ได้ในจำนวนที่มาก
และนอกจากนี้การเจาะกระจก ทำให้ผู้อบสามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์ภายใน โดยไม่ต้องเปิดตู้มาตรวจสอบ
ผลิตภัณฑ์จากตู้แบบ B สามารถรองรับการอบผลิตภัณฑ์ได้มากถึงครั้งละประมาณ
40 ใบ และลดเวลาในการอบลงกว่าเท่าตัว สำหรับตู้อบผลิตภัณฑ์แบบ C เมื่อพัฒนารูปทรงให้สามารถมองเห็นผลิตภัณฑ์
และปิดรอยรั่วของควันบริเวณขอบตู้ที่ซีนไม่แน่น รวมทั้งต่อท่อเพื่อให้ควันไฟลอยขึ้นในระดับเหนือศีรษะผู้อบ
ทำให้ให้งานได้พอเหมาะ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีความละเอียด โดยสามารถลดเวลาการอบและเพิ่มจำนวนการอบได้ครั้งละ
2 ใบ
3.
การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี ดำเนินการโดยโดยตัวแทนกลุ่มสตรีจักสานที่ร่วมพัฒนาตู้อบผลิตภัณฑ์กับนักวิจัย
และโดยชีวิตประจำวันเป็นผู้อบผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว โดยถ่ายทอด ให้กับสมาชิกในกลุ่มของชุมชนที่มีอยู่
จำนวน 6 กลุ่ม จำนวน 202 คน และได้ดำเนินการส่งมอบตู้อบผลิตภัณฑ์ให้กับชุมชนโดยกำนันสุรินทร์
นิลเลิศ และนายอำเภอปัญญา คำพรเหลือ นายอำเภอโพธิ์ทอง เป็นผู้รับมอบ
พร้อมกันนี้ได้สาธิตการใช้ตู้อบโดยความร่วมมือกับตัวแทนชุมชนในงาน
กระท้อนหวาน จักสานดัง รวมพลังสุดยอด OTOP โพธิ์ทอง ในวันที่ 23-25
มิถุนายน 2549 โดยในวันที่ 24 มิถุนายน 2549 ภายในงานมีผู้เข้าชมการสาธิต
ที่เป็นประชาชนทั่วไป บุคลากรจากกองค์กรภาครัฐ และกลุ่มสตรีจักสานในเขตพื้นที่อำเภอโพธิ์ทอง
ได้แก่ กลุ่มสตรีจักสาน หมู่ที่1 และหมู่ที่ 2 บ้านห้วยลิงตก หมู่ที่
3 และหมู่ที่ 4 บ้านโพธิราษฎร หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 6 บ้านบ้านสร้าง
หมู่ที่ 7 บ้านสามเรือน และหมู่ที่ 8 บ้านยางทอง และพื้นที่ที่ตั้งอยู่รายรอบชุมชน
และเครือข่ายต่างๆ คือ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี และพระนครศรีอยุธยา
รวมทั้งสิ้นประมาณ 500 คน
4. การประเมินผล พบว่า แม้ว่า ผู้อบผลิตภัณฑ์หลายคนสามารถใช้งานได้ดี
แต่ยังมีบ้างที่ยังมีข้อจำกัดในการใช้ สาเหตุเนื่องจากยังไม่คุ้นเคยกับตู้ที่พัฒนาขึ้น
โดยคิดว่าเป็นตู้ที่ดีจึงไม่ได้ตรวจดูผลิตภัณฑ์ระหว่างการอบ ทำให้ผลิตภัณฑ์ไหม้
เมื่อเกิดปัญหาจึงคิดว่าอบแบบเดิมดีกว่า อย่างไรก็ตามนักวิจัยและสมาชิกได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
สรุปว่าผู้ใช้ต้องสรุปบทเรียนและเรียนรู้การใช้ รวมทั้งผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจต้องขยายความรู้ไปยังสมาชิกคนอื่น
ๆ
|