โครงการมีเป้าหมายให้เกษตรกรกล้าคิด
กล้าทดลอง แก้ปัญหาเป็น และคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ให้เกษตรกรคิดพึ่งตนเอง
เรียนรู้และเข้าใจเรื่องต้นทุน ระมัดระวังทั้งต้นทุนชีวิตและต้นทุนอาชีพ
แล้วจึงฝึกให้เกษตรกรจำแนกชุดดินและวิเคราะห์ดินก่อนปลูกพืชด้วยชุดตรวจสอบ
NPK และใส่ปุ๋ยโดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการใช้ปุ๋ยในอัตราที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
โครงการนี้นับเป็นนวัตกรรมการวิจัยและพัฒนาทางการเกษตรที่ครบวงจร กล่าวคือ 1. ได้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมเฉพาะพื้นที่ 2.ได้ Software ที่สามารถทำนายผลจากการใช้ปุ๋ยได้อย่างแม่นยำ และ 3. เกษตรกรสามารถเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีได้ด้วยตนเอง
ในปี
2545-2547 FAO ได้ให้ความสนับสนุน เพื่อการขยายผลการวิจัยของโครงการนี้กับรัฐบาลไทย
โดยได้คัดเลือกเกษตรกรผู้นำ 67 คน และนักส่งเสริมการเกษตร 26 คน เกษตรกรผู้นำเหล่านั้นได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ไปสู่เกษตรกรรวมทั้งหมด
629 คนในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จังหวัดเพชรบูรณ์ ลพบุรี นครสวรรค์
และนครราชสีมา ปรากฏว่าเกษตรกรจำนวน 338 คน ได้ปลูกข้าวโพดโดยใช้เทคโนโลยีการจัดการธาตุอาหารเฉพาะพื้นที่
และได้รับผลผลิตเพิ่มขึ้น 23-42% ขณะที่ต้นทุนการผลิตใกล้เคียงกัน
ทำให้มีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นถึง 89-366 % ยกเว้นจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งมีความผิดพลาดในการใช้เทคโนโลยี
ผลตอบแทนของแปลงเกษตรกรมีแนวโน้มสูงกว่าแปลงที่มีการจัดการธาตุอาหารเฉพาะพื้นที่
แสดงให้เห็นว่าถึงแม้เทคโนโลยีจะดี แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็ไม่เกิดผลดีต่อผู้ใช้
คณะนักวิจัยได้พัฒนาคำแนะนำการใช้ปุ๋ยเคมีสำหรับข้าวโพดในแหล่งผลิตหลักรวม 19 จังหวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังพัฒนาคำแนะนำปุ๋ยเคมีสำหรับข้าวในพื้นที่ชลประทานภาคกลาง จากผลการวิจัยโดยให้ชาวนาในเขตชลประทานทำแปลงทดสอบและแปลงสาธิต พบว่า การใช้ปุ๋ย 7-3-0กก. N-P2O5-K2O/ไร่ ให้ผลผลิตข้าวไม่แตกต่างจาก 16-6-0 กก.N-P2O5-K2O/ไร่ ซึ่งเป็นอัตราปุ๋ยที่เกษตรกรส่วนใหญ่ถือปฏิบัติอยู่ จึงพอประเมินได้ว่า ถ้าชาวนาในเขตชลประทาน 6 จังหวัด คือ ชัยนาท สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา และนครปฐม รวมพื้นที่ปลูกข้าว 5,056,976 ไร่ ใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ จะประหยัดเงินค่าปุ๋ยได้ถึงปีละ 4 ,396 ล้านบาท ขณะที่รายได้จะเพิ่มขึ้น 6,190 ล้านบาท
แนวคิดของโครงการนี้แตกต่างจากงานวิจัยในอดีต คือ 1. เน้นการเพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรผู้นำ 2. เกษตรกรผู้นำมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัย และ 3. เกษตรกรผู้นำเป็นกลไกลหลักในการขยายผลการวิจัย ปรากฏว่า เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดจำนวนหนึ่งสามารถปลดภาระหนี้สินได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาต่อในโครงการวิจัยกับข้าวและอ้อย โดยสร้างเกษตรกรผู้นำให้ทำการวิจัยในไร่นาของตนเอง ขณะที่นักวิชาการในท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ได้เห็นพัฒนาการเชิงพฤติกรรมของเกษตรกรผู้นำ คือมีการจดบันทึกข้อมูลครอบครัว พยายามลดต้นทุนการผลิต และมีแนวคิดขยายผลเรื่องการพึ่งตนเองไปสู่เพื่อนบ้าน ภาพที่ 1 เป็นแปลงสาธิตของนางสำริด บุญเปี่ยม เกษตรกรจากจังหวัดพิษณุโลก จะเห็นได้ว่าเกษตรกรใส่ปุ๋ยไนโตรเจนสูงเกินไป การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน (แปลงสาธิต) ประหยัดค่าปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ และมีแมลงเข้าทำลายน้อยกว่าแปลงเกษตรกร (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 ผลการทดลองระหว่างแปลงสาธิตกับแปลงเกษตรกร
|
แปลงสาธิต |
แปลงเกษตรกร |
ผลผลิต |
807 กก.ต่อไร่ |
799 กก.ต่อไร่ |
เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใช้ |
3-4 ถังต่อไร่ |
2 ถังต่อไร่ |
ต้นทุนการใช้ปุ๋ย |
187 บาท/ไร่ |
580 บาท/ไร่ |
จำนวนเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล |
น้อยกว่า |
มากกว่า |
ลักษณะอื่นๆ |
ปกติ |
พบลักษณะขอบใบแห้ง |
|
ภาพที่ 1 แปลงสาธิตของนางสำริด บุญเปี่ยม ต.บ้านกร่าง อ.เมือง จ.พิษณุโลก
17 สิงหาคม 2549 |
|