วนเกษตร…แนวทางการเกษตรของประเทศไทยในอนาคต
Agroforestry…Agriculture Trend of Thailand in the Future

ณัฐวัฒน์ คลังทรัพย์ และจงรัก วัชรินทร์รัตน์
สถานีวิจัยวนเกษตรตราด สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

           ในห้วง 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเน้น “การเกษตรเพื่อการส่งออก” โดยส่งเสริมให้เกษตกรกรปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวเป็นพื้นที่ใหญ่ๆ ใช้พันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง แต่การผลิตต้องใช้ปุ๋ยและสารเคมีในปริมาณมาก การเพิ่มผลผลิตมักเน้นการขยายพื้นที่มากกว่าวิธีการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการผลิตที่ขาดการอนุรักษ์ส่งผลให้ ป่า-ดิน-น้ำ เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ

           ผลที่ตามก็คือ ประสิทธิภาพการผลิตลดลง ต้องใช้ปัจจัยการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างในผลผลิตและสิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไม่สมดุลกับรายได้จากการขายผลผลิต โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัฒน์ ปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าจึงมีราคาแพง ผนวกกับภัยธรรมชาติและการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืชที่รุนแรงขึ้น ทำให้เกษตรกรประสบภาวะขาดทุน มีหนี้สินล้นพ้นตัว บางรายต้องขายที่ทำกินแล้วไปบุกรุกพื้นที่ป่าหรือไม่ก็ทิ้งถิ่นฐานไปทำงานในเมือง

            จากสภาพปัญหาข้างต้น การพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน การเกษตรยั่งยืน (Sustainable agriculture) เป็นหลักการที่ว่าด้วยการจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิตทางการเกษตรที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสนองความจำเป็นอันเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ โดยสามารถดำรงหรือบำรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้การพัฒนาการเกษตรในปัจจุบันยังจำเป็นจะต้องดำเนินการให้เป็นไปทั้งระบบ กล่าวคือ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของการใช้ที่ดินรูปแบบต่างๆ และผลกระทบที่จะมีต่อกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการเกษตรที่มีความจำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชนบท จะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อการฟื้นฟูสภาพป่าไม้และสิ่งแวดล้อมโดยรวมด้วย โดยเฉพาะป่าไม้ที่เป็นฐานทรัพยากรที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ

            วนเกษตร (Agroforestry) นับเป็นแนวทางหนึ่งของรูปแบบการใช้ที่ดินที่จะเปลี่ยนจากระบบการเกษตรดั้งเดิมไปสู่ระบบการเกษตรที่ยั่งยืน เป็นการผสมผสานความกลมกลืนให้เกิดขึ้นระหว่างไม้ยืนต้นกับกิจกรรมการเกษตรต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความสมดุลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของที่ดินหน่วยหนึ่งๆ ซึ่งอาจเป็นในระดับแปลง ระดับฟาร์ม ระดับลุ่มน้ำ ระดับภูมิภาค ไปจนถึงระดับประเทศ

            วนเกษตรก่อให้เกิดผลดีทั้งทางด้านระบบนิเวศและเศรษฐกิจสังคมอย่างไร คำตอบคือ การทำวนเกษตรซึ่งมีต้นไม้เป็นองค์ประกอบรวมอยู่ด้วยนั้น เป็นการใช้ทรัพยากรในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพทั้งทรัพยากรที่อยู่เหนือพื้นดินได้แก่ แสงสว่าง อากาศ และน้ำ และที่อยู่ใต้ดิน ได้แก่ น้ำและธาตุอาหาร ช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการหมุนเวียนธาตุอาหารของต้นไม้ ช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ เป็นระบบที่ก่อให้เกิดผลผลิตที่หลากหลายและยั่งยืน ทั้งไม้ใช้สอย ไม้ฟืน แหล่งอาหารเสริม แหล่งอาหารสัตว์ เส้นใย สมุนไพร ฯลฯ และช่วยลดต้นทุนการผลิตในฟาร์ม

            ตัวอย่างการทำวนเกษตร ได้แก่ การปลูกไม้อเนกประสงค์ในพื้นที่เกษตรกรรม สวนไม้ควบพืชสวน การปลูกไม้ยืนต้นบนคันนา การปลูกพืชควบในสวนป่า แถบไม้กันลม การปลูกไม้พุ่มในทุ่งหญ้า การปลูกต้นไม้ริมบ่อเลี้ยงปลา การปลูกไม้หลายชั้นเรือนยอด สวนบ้าน สวนไม้ป่าชุมชน รั้วไม้อาหารสัตว์ รั้วไม้อเนกประสงค์ในพื้นที่ฟาร์มผสมผสาน ฯลฯ

            บทเรียนจากอดีตจนถึงปัจจุบัน หากเรายังไม่มีการปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรจากแบบเดิมๆ อนาคตเกษตรกรไทยโดยเฉพาะชาวชนบทคงหนีไม่พ้นการทำการเกษตรแบบเจ็บป่วยเรื้อรัง ดังนั้นวนเกษตรจึงเป็นเกษตรทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรไทยหรือมองอีกมุมหนึ่ง “วนเกษตรเปรียบเสมือนการทำการเกษตรตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องเกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง”