
ภาษาและวัฒนธรรมการแต่งกายเป็นเครื่องบ่งบอกเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์
การศึกษาภาษาและ วัฒนธรรมการแต่งกายของชนผ่าไท ช่วยให้ทราบถึงและเข้าใจ
มโนทัศน์ แนวคิด ปรัชญาชีวิต ความเชื่อค่านิยม ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าไทกลุ่มต่างๆ
นิทรรศการครั้งนี้นำเสนอภาษาและวัฒนธรรมการแต่งกายของชนเผ่าไท 10 ชนเผ่าภาษาในตระกูลไทตะวันตกเฉียงใต้
ซึ่งมีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในประเทศไทย ลาว และอินเดีย ได้แก่ ไทยเหนือ
(ไทยยวน) ไทยพวน ไทยโซ่ง (ไทยทรงดำ) ไทยกลาง ลาว ภูไท (ผู้ไทย) ไทยอีสาน
ไทลื้อ ไทปาเก้ (พาเก) และไทยใต้โดยมีสายสัมพันธ์ชาติพันธุ์ภาษา (www.Ethnologue.com)
ดังนี้

ชนเผ่าไทในอาณาจักรไทเดิมที่ยิ่งใหญ่มาแต่อดีต
มีวัฒนธรรมการแต่งกายของแต่ละเผ่าที่มีความประณีต สืบทอดภูมิปัญญาวัฒนธรรมการแต่งกาย
โดยเฉพาะกลุ่มนุ่งผ้าซิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบทอดได้แก่
ไทลื้อ ในอาณาจักรสิบสองปันนา ไทดำ แห่งอาณาจักรสิบสองเจ้าไท อพยพมาเป็นไทยโซ่ง
(ลาวโซ่ง) ลาว ไทยพวน ผู้ไทย ไทยอีสาน แห่งอาณาจักรล้านช้าง ไทยเหนือ(ไทยยวน)
แห่งอาณาจักรล้านนา ไทปาเก้ (พาเก) แห่งรัฐอัสสัมมิ ประเทศอินเดีย
ไทยภาคกลางหรือไทยสยามและไทยถิ่นใต้ แห่งอาณาจักรศรีวิชัย
ไทยเหนือ (ไทยยวน)
สตรีสวมเสื้อฝ้ายสีขาวตุ่น
คอกลม แขนกระบอก ผ่าหน้าติดกระดุม จะนิยมนุ่งผ้าซิ่นก่านหรือซิ่นตา
มีลักษณะเป็นลายขวางอันเกิดจากฝ้ายเส้นยืน การแต่งกายในงานพิธีกรรมจะห่มสไบเฉียงแบบ
สะหว้าย แล่ง ประดับเครื่องเงินทอง เชิงของผ้าซิ่นต่อด้วยตีนจก ผู้ชายนิยมแต่งกายโดยสวมเสื้อหม้อห้อมย้อมคราม
หรือเสื้อใยฝ้ายสีขาวตุ่นเป็นเสื้อคอกลม ผ่าหน้า ผูกเชือก มีกระเป๋า
นุ่งกางเกงครึ่งแข้ง เรียกว่า เตี่ยวสะดอ หรือ เตี่ยวหม้อห้อม
มีผ้าขาวม้าคาดเอวมักเป็นฝ้ายสีแดงสลับดำ การแต่งกายในงานพิธี จะสวมเสื้อคอตั้งแขนยาว
พาดบ่าด้วยผ้าเช็ดนุ่งกางเกงขายาว
ไทยพวน
สตรีชาวไทยพวน
จะนุ่งซิ่นเทคนิคยกมุก เป็นเส้นยืนพิเศษ ต่อตีนซิ่นด้วยจก แต่เดิมจะเคร่งครัดเรื่องแต่งกาย
คือ หญิงสาวโสดจะนุ่งซิ่นตีนแดง คือ ตีนจกพื้นแดงเคียนอก (เรียกว่า
แฮงตู้) ด้วยผ้ามีสีสันงดงาม หญิงแต่งงานแล้วจะนุ่งซิ่นตีนดำ คือ ซิ่นตีนจกพื้นดำ
เคี่ยนอกด้วยผ้าย้อมมะเกลือหรือคราม ชายไทยพวนจะนุ่งชุดประจำวัน เป็นเสื้อผ้าฝ้ายย้อมครามหรือมะเกลือคอกลม
ผ่าหน้า ผูกเชือกแขนสามส่วน เช่นเดียวกับชาวไทยยวน นุ่งกางเกงครึ่งแข้ง
ย้อมคราม หรือมะเกลือ มีผ้าขาวม้าคาดเอว ส่วนชุดไปงานพิธี จะสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งแขนยาว
นุ่งโจงกระเบนแบบทางกรุงเทพ ฯ
ไทยโซ่ง (ไทยทรงดำ หรือ
ลาวโซ่ง)
ชาวไทยโซ่งจะแต่งกายสีดำเพราะสืบเชื้อสายมาจากชาวไทดำ
สตรีสวมเสื้อก้อมแขนยาวคอกลม
สีดำ ติดกระดุมเงินลายกลีบบัว นุ่งซิ่นลายแตงโมหรือลายชะโด เป็นซิ่นสีครามเข้มขนานลำตัวด้วยริ้วขาว
ส่วนสตรีสูงอายุ จะนำผ้าปกหัวที่เรียกว่า ผ้าเปียว มาคาดอก ถ้ามีงานพิธี
จะสวมเสื้อฮีประดับแถบไหมสีตรงบ่าด้านหน้า เสื้อคลุมยาวถึงเข่า ปักลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์
คือ ลายดอกตะเหวน (ตะวัน) และดอกจันทน์ ชายชาวลาวโซ่งจะสวมเสื้อก้อมสีดำ
ติดกระดุมเงินลายกลีบบัว นุ่งกางเกงขาใหญ่ ย้อมด้วยมะเกลือหรือคราม
ส่วนในงานพิธี จะสวมเสื้อฮีสีดำแขนยาว คอกลมประดับด้วยแถบผ้าไหมสี
ไทยภาคกลาง
สตรีภาคกลางจะสวมเสื้อคอตั้ง
แขนยาว ติดกระดุมทองทรงกลม ห่มสไบแพรจีบ นุ่งโจงกระเบนหรือนุ่งจีบ
ส่วนการแต่งกายของชายในภาคกลาง นิยมสวมเสื้อแขนยาว สีขาวคอตั้ง ติดกระดุมกลม
นุ่งผ้าม่วงแบบโจงกระเบน หรือนุ่งกางเกงขายาว
ลาว (เวียงจันทน์และหลวงพระบาง)
สตรีชาวเวียงจันทน์และหลวงพระบาง
จะนิยมนุ่งผ้าซิ่นไหมที่ปักหรือทอด้วยดิ้นเลื่อมเงินทองตามแบบเจ้านาย
ตีนซิ่นทอด้วยดิ้นเงินทอง ห่มสไบที่เรียกว่าผ้าเบี่ยงปักหรือทอด้วยดิ้นเงินทองเช่นกัน
โดยเฉพาะจะนิยมนำเครื่องแต่งกายแบบเจ้านายมาแต่งเป็นชุดเจ้าสาว ส่วนชายชาวเวียงจันทน์หรือหลวงพระบาง
ในปัจจุบันจะสวมเสื้อแบบฝรั่ง มีผ้าพาดบ่า นุ่งผ้านุ่งหรือผ้าเตี่ยว
ทอด้วยไหมสีพื้นหรือไหมทอแบบ หมากไม (หางกระรอก) หรือนุ่งกางเกงขายาว
|
|
สตรีชาวไทยลาว
เวียงจันทร์ |
สตรีชาวไทยลาว
หลวงพระบาง |
|
ภูไท (ผู้ไทย)
ผู้หญิงจะสวมเสื้อแขนกระบอกย้อมด้วยมะเกลือหรือคราม
คอตั้ง ผ่าอกติดกระดุม มีสาบเป็นจกลายขอ นุ่งซิ่นมัดหมี่ลายนาค ย้อมด้วยมะเกลือหรือครามเช่นกัน
มีขิดที่ตีนซิ่น ในงานพิธีจะมีห่มผ้าเบี่ยงแพรวา สีแดง สวมเครื่องประดับเงิน
มีผ้าคลุมศีรษะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก เรียกว่า ผ้าแพรมน ผู้ชายจะ
สวมเสื้อแขนยาวย้อมมะเกลือหรือคราม คอตั้งผ่าหน้าติดกระดุม ตกแต่งขิดที่สาบเสื้อ
นุ่งกางเกงขาแถบสีดำ ในงานพิธีกรรมจะพาดบ่าด้วยผ้าขิด นุ่งผ้าโสร่งตามะกอก
ไทยอีสาน
สตรีชาวไทยอีสานจะใส่เสื้อแขนกระบอก
ผ่าหน้า ติดกระดุมเงิน นุ่งซิ่นป้ายมัดหมี่สีคราม ในงานพิธีจะห่มผ้าเบี่ยงหรือสไบ
นุ่งซิ่นไหมมัดหมี่ เขตอีสานเหนือนุ่งไหมมัดหมี่เส้นพุ่งเป็นลายทางตั้งต่อตีนซิ่นด้วยฝ้ายหรือ
ไหมสามตะกอ เขตอีสานใต้ จะนุ่งผ้าเอกลักษณ์ คือ หมี่โฮล ของจังหวัดสุรินทร์
หรือนุ่งไหมมัดหมี่เส้นพุ่งทอสามตะกอ ชายชาวไทอีสานจะสวมเสื้อ แขนยาว
ผ่าหน้า ติดกระดุม นุ่งกางเกงขายาว มีผ้าขาวม้าคาดเอว ถ้าเป็นงานพิธีจะใช้ผ้าขิดพาดบ่า
นุ่งผ้าโสร่งตามะกอก หรือผ้าไหมหางกะรอก
ไทยลื้อ
หญิงไทยลื้อจะโพกผ้าสีขาวเป็นเอกลักษณ์
สวมเสื้อปั้ด เป็นเสื้อรัดรูปสีดำคราม เอวลอย แขนยาวตรงสาบหน้าตกแต่งด้วยผ้าแถบสี
เฉียงมาผูกติดกันตรงมุมซ้ายทางลำตัว ติดกระดุมเงินนุ่งซิ่นลายขวาง
ทอด้วยเทคนิคเกาะหรือล้วง เรียกว่าลายน้ำไหลชายไทยลื้อสวมเสื้อแขนยาวสีดำครามคล้ายเสื้อหม้อห้อม
มี ๒ แบบ แบบดั้งเดิมเป็นเสื้อเอวลอย สายหน้าขลิบด้วยผ้าแถบสี ป้ายมาติดกระดุมที่ใต้รักแร้และเอว
อีกแบบเป็นแบบเมืองเงิน เป็นเสื้อคอตั้ง มีแถบผ้าจกลายขอนาคตกแต่ง
ไทปาเก้ (พาเก)
เอกลักษณ์การแต่งกายมีแบบฉบับเป็นของตนเอง
ผู้ชายโดยทั่วไปจะสวมผ้าลายตราหมากรุก (เรียกว่า เพโตริ) สีเขียวและดำคาดด้วยสีแดง
เหลือง หรือ ขาว และเสื้อเชิ้ต และเมื่อเวลาไปวัด ผู้เฒ่าผู้แก่ จะนิยมคาดผ้าพันรอบศีรษะ
(เรียกว่า พ่า-ห่อ-โฮ) ผู้หญิงจะใส่ชุดประจำเผ่า ซึ่งรวมถึงสายคาดเอวคาดรอบเอวลงไปถึงข้อเท้า
พร้อมกับเข็มขัด (เรียกว่า สาย-สิ่น) และกระโปรงลายทางยาว ๆ (เรียกว่า
พ่า-นัง-ลริ) ในส่วนที่ปกคลุมหน้าอก ผู้หญิงสูงวัยจะสวมผ้าคาดศีรษะเหมือน
ๆ กับผู้ชาย และจะสวมเมื่อเวลาไปที่วัดและชอบที่จะสวมใส่เครื่องประดับ
ยกเว้นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่นิยมใส่เครื่องประดับ หญิงสาวพื้นเมืองยังคงรักษาเอกลักษณ์ของการทอผ้าซึ่งมีขนาดเล็กและเรียบง่ายมาก
วิธีการทอผ้าก็ค่อนข้างจะแตกต่างจากเสื้อผ้าของผู้ที่พูดภาษาอัสสัมมิ
รวมถึงชาวโบรอส ด้วย

ไทยถิ่นใต้
การแต่งกายหญิงชาวไทยใต้
จะห่มผ้าซีก (ผ้าแถบ) ฉ้อคอ อย่างห่มตะแบงมาน ชายผ้าซีกทั้งสองข้างผูกไว้ที่ต้นคอ
ชายหางผ้าซีกยาวพาดบ่าอย่างสไบเฉียง หรือใช้ผ้าห่มรัดอกผืนหนึ่ง และห่มสไบเฉียงซ้อนอีกผืนหนึ่ง
นุ่งผ้าโจงกระเบนเป็นผ้าพื้น ถ้าเป็นงานพิธีบุญจะนุ่งผ้ายกฝ้าย ผู้มีฐานะจะนุ่งยกดิ้นเงินทอง
ชายชาวไทยใต้ จะนุ่งผ้าพื้นเลื้อยชาย หรือนุ่งผ้าโสร่ง ถ้ามีงานพิธีจะนุ่งผ้าโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ
ใช้ผ้าขาวม้าหรือผ้าห่มพาดบ่า ถ้ามีฐานะจะใช้ผ้าซักอาบ (ผ้าขาวม้า)
ทอด้วยไหม ห่มสะพายเฉียง
|