โคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน
Kampaengsaen Beef Breed


รางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นประจำปี 2548 รางวัลดีเยี่ยม สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา
ปรีชา อินนุรักษ์ และคณะ
สถาบันสุวรรณวาจกกสิกิจเพื่อค้นคว้าและพัฒนาปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เรื่องโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน (Kampaengsaen Beef Breed)

         คณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ ได้พิจารณาเห็นว่าผลงานประดิษฐ์คิดค้น เรื่องโคพันธุ์กำแพงแสน (Kampaengsaen Beef Breed) ของนายปรีชา อินนุรักษ์ และคณะแห่งศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตกระบือและโค มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ผลงานการประดิษฐ์นี้เป็นการสร้างและปรับปรุงพันธุ์ขึ้นใหม่ของโคเนื้อซึ่งเป็นพันธุ์แรกของประเทศไทย โดยการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์พื้นเมือง บราห์มัน และชาโลเลส์ ซึ่งมีความเด่นในเรื่องกล้ามเนื้อ การเจริญเติบโตได้เนื้อคุณภาพสูง คือเนื้อโคมีไขมันแทรกในกล้ามเนื้อ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในการจำหน่ายโคขุนและพันธุ์โค

ที่มาของการประดิษฐ์คิดค้น

         ในอดีต ประเทศไทยยังไม่มีโคพันธุ์เนื้อที่สามารถเลี้ยงเป็นโคขุนในเชิงธุรกิจเหมือนโคเนื้อพันธุ์ต่างประเทศ เช่น ยุโรป และอเมริกา ส่วนโคพื้นเมืองของประเทศไทย แม้ว่ามีคุณสมบัติดีเด่นหลายประการ แต่ก็มีขนาดเล็กและโตช้า ดังนั้น นักวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงได้พัฒนาโคพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นโคเนื้อพันธุ์แรกของประเทศ ชื่อว่าพันธุ์กำแพงแสน ซึ่งปรับปรุงพันธุ์มาจากโคพื้นเมืองกับโคพันธุ์บราห์มัน และโคพันธุ์ ชาโรเลส์ โดยได้รับลักษณะที่ดีจากโคพื้นเมืองไทย คือ การปรับตัวได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น ทนต่อเห็บและแมลงรวมทั้งโรคและพยาธิ และสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพที่อาหารสัตว์มีคุณภาพต่ำและปริมาณจำกัด ได้รับโครงร่างใหญ่จากโคพันธุ์บราห์มัน แล้วเพิ่มเติมความสามารถในการสร้างเนื้อคุณภาพดีและโตเร็วจากโคพันธุ์ชาโรเลส์

ลำดับการดำเนินงานเกี่ยวกับการสร้างโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีดังนี้

  • พ.ศ. ๒๕๐๗-๒๕๑๒ เริ่มโครงการโคเนื้อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ สถานีฝึกนิสิตทับกวาง และวิทยาเขตกำแพงแสน โดยมี ศสตราจารย์ ดร.จรัญ จันทลักขณา เป็นหัวหน้าโครงการได้สั่งน้ำเชื้อแช่แข็งพันธุ์ชาโรเลส์ เฮอร์ฟอร์ด แองกัส และบราห์มัน มาผสมกับแม่โคพื้นเมือง โดยศึกษาสมรรถภาพของโคพันธุ์ผสมต่างๆ เพื่อตัดสินใจใช้พันธุ์ที่เหมาะสมที่สุด
  • พ.ศ. ๒๕๑๗ เริ่มโครงการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อระดับหมู่บ้าน โดยดำเนินการร่วมกับกลุ่มเกษตรกรรอบ ๆ วิทยาเขตกำแพงแสน
  • พ.ศ. ๒๕๒๗ เริ่มจัดฝึกอบรมหลักสูตรการเลี้ยงโคเนื้อให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจจากทั่วประเทศ
  • พ.ศ. ๒๕๓๐ จากผลงานวิจัย สรุปได้ว่าโคที่มีสายเลือดพื้นเมือง ๒๕% บราห์มัน ๒๕% ชาโรเลส์ ๕๐% มีคุณลักษณะเหมาะสมที่สุดในสภาพอากาศร้อนชื้น คือโตเร็ว เลี้ยงง่าย และเนื้อมีคุณภาพสูง แล้วตั้งชื่อโคว่า โคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน ตามชื่อของสถานที่ตั้งวิทยาเขต
  • พ.ศ. ๒๕๓๔ ก่อตั้งสมาคมโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน นายกสมาคมคนแรก คือ นายสุนทร นิคมรัตน์ ได้ขยายงานปรับปรุงพันธุ์ออกไปสู่ฟาร์มเอกชนในหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศ
  • พ.ศ. ๒๕๓๖ ก่อตั้งสหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำกัด เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมธุรกิจจำหน่ายเนื้อโคขุนพันธุ์กำแพงแสนไปยังศูนย์การค้า ภัตตาคารต่างๆ
  • พ.ศ. ๒๕๓๙ พ่อพันธุ์โคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน ชื่อ ขุนแผน K 11-36/241 ชนะการประกวดโคเนื้อ ได้รับรางวัลสุดยอดโคเนื้อของประเทศไทย (Super Grand Champion) ในงานแสดงเกษตรและอุตสาหกรรมโลก WORLDTECH’95 Thailand ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา
  • พ.ศ. ๒๕๔๐ เริ่มโครงการปรับปรุงพันธุกรรมและสมรรถภาพการผลิตโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสนอย่างเข้มข้นและกว้างขวาง โดยมี ศาสตราจารย์ปรารถนา พฤกษะศรี เป็นหัวหน้าโครงการฯ ได้รับงบประมาณจากสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการนี้ดำเนินการร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กับสมาคมโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสน และสหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีกรมปศุสัตว์ให้การสนับสนุนด้านการส่งเสริมและเผยแพร่
  • พ.ศ. ๒๕๔๓ นายปรีชา อินนุรักษ์ เป็นหัวหน้าโครงการปรับปรุงพันธุกรรมและสมรรถภาพการผลิตโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสนสืบต่อมา และผลิตน้ำเชื้อแช่แข็งจากพ่อโคที่ผ่านการทดสอบคุณภาพแล้ว กระจายให้แก่สมาชิกในโครงการและเกษตรกรทั่วประเทศ

ระยะเวลาในการประดิษฐ์คิดค้น

         ตั้งแต่การดำเนินงานที่วิทยาเขตกำแพงแสน คือ พ.ศ. ๒๕๑๒ ถึงปัจจุบัน รวมประมาณ ๓๕ ปี

คุณสมบัติและลักษณะเด่น

  1. สามารถใช้เป็นโคขุนในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทยได้ดี ทนต่อเห็บและแมลง ขณะนี้มีเกษตรกรนำไปเลี้ยงได้ในทุกภาคของประเทศไทย ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น
  2. เป็นโคพันธุ์เนื้อที่มีโครงร่างและการเจริญเติบโตดี มีประสิทธิภาพการใช้อาหารสูง ไม่แพ้โคเนื้อพันธุ์ต่างประเทศ แต่โคพันธุ์ต่างประเทศไม่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมของประเทศไทย
  3. คุณภาพซากและเนื้อดี ทัดเทียมกับเนื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื้อนุ่ม และปลอดจากโรควัวบ้า หากเลี้ยงถูกวิธีจะมีไขมันพอดี ไม่ทำให้คนเป็นโรคอ้วน
  4. มีสมาคมโคเนื้อพันธุ์กำแพงแสนและสหกรณ์โคเนื้อรับรองคุณสมบัติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตกระบือและโค เป็นผู้ทดสอบคุณภาพ
  5. หลักการ วิธีการ และกรรมวิธี
                การสร้างโคเนื้อพันธุ์ “กำแพงแสน” เป็นการปรับปรุงพันธุ์โคพื้นเมืองของไทย คุณสมบัติที่ดีเลิศของโคพื้นเมืองที่ไม่มีโคพันธุ์ใดเทียบได้ คือความสมบูรณ์พันธุ์ ได้แก่ การเป็นสัดเร็ว ผสมติดง่ายได้ลูกทุกปีทั้งๆ ที่ได้รับอาหารตามสภาพการเลี้ยงของเกษตร กรไทย แต่เนื่องจากโคพื้นเมืองมีขนาดเล็กโตช้า ไม่สามารถนำมาเลี้ยงเป็นโคขุนในระบบธุรกิจได้ จึงได้มีการปรับปรุงโคพื้นเมือง โดยการนำโคพันธุ์บราห์มันมาผสมเพื่อให้ได้ลูกที่มีขนาดใหญ่และโตเร็วขึ้น เนื่องจากโคบราห์มันเป็นโคพันธุ์เอเซียจึงผสมกันได้ดีกับโคไทย ทำให้ได้ลูกผสมตัวใหญ่ขึ้น และให้ลูกดกอันเป็นข้อดีของโคพื้นเมืองไทยที่ถ่ายทอดมา ดังนั้น โครงการปรับปรุงพันธุกรรมโคเนื้อ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงพยายามรักษาเลือดโคพื้นเมืองไว้ ๒๕% เพื่อให้คงความดีของความสมบูรณ์พันธุ์ และจำกัดเลือดพันธุ์บราห์มัน ไว้เพียง ๒๕% เพื่อให้ได้โครงสร้างใหญ่ขึ้น แล้วนำพันธุ์โคชาโรเลส์มาช่วยเสริมเรื่องการให้เนื้อนุ่ม และการเจริญเติบโตเร็ว แต่โคชาโรเลส์เป็นพันธุ์โคเมืองหนาว ซึ่งไม่สามารถทนต่ออากาศร้อนบ้านเราได้ จึงจำกัดเลือดพันธุ์ชาโรเลส์ไว้เพียง ๕๐% ทำให้โคลูกผสมมีสัดส่วนของลักษณะเด่นผสมกันพอดีและเหมาะสม

         สรุปได้ว่า การสร้างโคพันธุ์ “กำแพงแสน” เป็นการสร้างพันธุ์โคเพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นโคเนื้อที่ดีครบถ้วนสำหรับเลี้ยงในสภาพทั่วไปของประเทศไทย โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ (โคพื้นเมือง) เป็นพันธุ์พื้นฐาน นอกจากจะเหมาะสมกับประเทศไทยแล้ว ยังใช้ได้ดีในสภาพแวดล้อมของประเทศในเอเซียอาคเนย์อีกด้วย