การเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดอย่างยั่งยืน
Sustainable Culture of Freshwater Pearl Mussel

อุทัยวรรณ โกวิทวที และ สาธิต โกวิทวที
ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

          หอยมุกน้ำจืด จัดเป็นหอยกาบน้ำจืดชนิดหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสัตว์น้ำที่มีคุณค่าของไทย เนื่องจากสามารถผลิตไข่มุกน้ำจืดได้ จากลักษณะของเปลือกที่มีความแวววาวสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลายเช่น เครื่องเรือนประดับมุก เครื่องประดับ เครื่องใช้ภายในครัว และของที่ระลึก หอยชนิดที่มีเปลือกหนาสามารถทำเป็นนิวเคลียสเพื่อทำแกนสำหรับผลิตไข่มุกแบบมีแกนในหอยมุกทะเล ส่วนของเนื้อสามารถใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์และสัตว์ได้ นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการบำบัดน้ำ โดยช่วยกรองตะกอนทำให้น้ำใส และช่วยย่อยสารอินทรีย์ให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งทำให้ผู้ย่อยสลายสามารถย่อยสารอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น

          ปัจจุบันจำนวนหอยลดลงและบางชนิดกำลังใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น การเก็บหอยขึ้นมาจำนวนมากโดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ สภาพแวดล้อมในแหล่งน้ำมีสภาพเสื่อมลง จากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นถึงประโยชน์ของหอยมุกน้ำจืด ดังนั้นการเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดนับว่ามีความสำคัญ เพื่อจะได้เป็นการอนุรักษ์ ส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากเปลือกหอยในเชิงเศรษฐกิจ และการเพาะเลี้ยงไข่มุกน้ำจืดซึ่งจะเป็นแนวทางในอุตสาหกรรมการผลิตยา เครื่องสำอาง เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและเกิดการสร้างอาชีพรวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนสูงอีกด้วย

การเพาะเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดมี 3 ขั้นตอน คือ การเลี้ยงหอยระยะโกลคิเดีย ระยะจูวีไนล์ และระยะตัวเต็มวัย

1. การเลี้ยงหอยระยะโกลคิเดีย วงจรชีวิตของหอยระยะนี้เป็นปรสิตกับปลา การเลี้ยงส่วนใหญ่จะเลียนแบบธรรมชาติโดยนำเอาปลาที่เป็นโฮสต์มาใส่รวมกันกับแม่หอยที่มีโกลคิเดียที่แก่เต็มที่ โกลคิเดียจะออกจากแม่หอยมาเกาะบริเวณเหงือก ครีบ และบริเวณลำตัวของปลา หลังจากนั้นโกลคิเดียจะพัฒนาไปเป็นหอยระยะจูวีไนล์ แต่ปัจจุบันนี้สามารถเพาะเลี้ยงโกลคิเดียของหอยมุกน้ำจืดในอาหารสังเคราะห์ โดยนำโกลคิเดียมาเลี้ยงในตู้ควบคุมอุณหภูมิต่ำ (23?2 ?C) พร้อมให้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 5% อาหารที่ใช้เลี้ยงโกลคิเดียมีส่วนผสมของ M199 พลาสมาปลา ยาปฎิชีวนะ และยาป้องกันเชื้อรา พบว่ามีหอยมุกน้ำจืดและหอยกาบน้ำจืดหลายชนิดที่สามารถเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ได้ (Kovitvadhi et al. 2001; อุทัยวรรณ และสาธิต, 2545) การเลี้ยงโกลคิเดียในอาหารสังเคราะห์จะสะดวกกว่าการเลี้ยงเลียนแบบธรรมชาติ เพราะไม่มีปัญหาการปนเปื้อนจากแบคทีเรีย เชื้อรา และ โปรโตซัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้หอยระยะจูวีไนล์ตายเป็นจำนวนมาก การรอดตายและการเปลี่ยนแปลงจากโกลคิเดียไปเป็นจูวีไนล์สูงถึง 80-96 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงจากโกลคิเดียไปเป็นจูวีไนล์ของหอยแต่ละชนิดใช้เวลาน้อยกว่าการเลี้ยงเลียนแบบธรรมชาติอยู่ระหว่าง 9-12 วัน

2. การเลี้ยงหอยระยะจูวีไนล์ ปัจจุบันสามารถเลี้ยงหอยมุกน้ำจืดระยะจูวีไนล์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ได้หลายชนิด โดยหอยระยะจูวีไนล์อายุ 1-90 วัน จะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ อาหารที่ใช้เลี้ยงเป็นสาหร่ายสีเขียวเซลล์เดียวได้แก่ Chlorella sp. Kirchneriella incuvata มีการรอดตาย 40-70 เปอร์เซ็นต์ และจูวีไนล์ 90 จนถึงระยะก่อนสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเลี้ยงที่แหล่งน้ำธรรมชาติ พร้อมได้รับอาหารจากแหล่งน้ำดังกล่าว มีการรอดตาย 80-100 เปอร์เซ็นต์ (สาธิต และคณะ, 2547; 2548)

3. การเลี้ยงหอยกาบน้ำจืดระยะตัวเต็มวัย การเลี้ยงหอยระยะตัวเต็มวัยจะง่ายกว่าระยะอื่นๆ โดยเลี้ยงที่แหล่งน้ำธรรมชาติ พร้อมได้รับอาหารจากแหล่งน้ำดังกล่าว ปัจจุบันสามารถเลี้ยงได้หลายชนิด เพราะหอยระยะนี้จะมีความอดทนสูง พบว่าการเจริญเติบโตของหอยจะขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณแพลงก์ตอนพืช คุณภาพของแหล่งน้ำ และรูปแบบของภาชนะที่เลี้ยง มีการรอดตาย 100 เปอร์เซ็นต์ (อุทัยวรรณ และคณะ, 2544 )