การพัฒนาการปลูกองุ่นพันธุ์ทำไวน์และการผลิตไวน์


จรัล เห็นพิทักษ์1
สร้อยทอง สายหยุดทอง2


       ประเทศไทยจัดว่าตั้งอยู่ในแถบเขตร้อนของโลกที่สามารถจะปลูกองุ่นทั้งชนิดรับประทานสดและชนิดทำเหล้าองุ่นได้ ถ้าหากจะเปรียบในเขตกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันแล้ว ประเทศไทยได้เปรียบดีในแง่ของสภาพทางภูมิประเทศ สภาพทางการเมือง และศาสนา นอกจากนี้คนไทยนิยมดื่มเครื่องดองของเมาและสุรา ซึ่งในงานเลี้ยงทุกระดับจะมีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ จากรายงานของศูนย์สารสนเทศการเกษตร สถิติที่ผ่านมาเครื่องดื่มประเภทแชมเปญ ไวน์ และเหล้าองุ่นชนิดต่าง ๆ รวมกัน (wine) ประเทศไทยยังต้องสั่งนำเข้ามาปีละไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เป็นที่ปรารถนาของนักลงทุนทั้งของชาวไทย และต่างประเทศอย่างมากที่จะลงทุนผลิตองุ่น เพื่อทำเหล้าองุ่นขึ้นในประเทศไทยเพื่อให้คนไทยได้ดื่ม ตลอดจนเพื่อนชาวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยอีกจำนวนมากซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้น การผลิตเหล้าองุ่นได้เองภายในประเทศนอกจากจะทำให้ประชาชนของชาติได้มีอาชีพ มีงานทำและมีรายได้เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดการเสียเปรียบดุลการค้ากับต่างประเทศได้อีกมาก

      ในขณะนี้มีบริษัทที่สามารถผลิตเหล้าองุ่นออกมาจำหน่ายบ้างแล้ว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เหล้าองุ่นนั้นทำมาจากพันธุ์องุ่นที่ใช้รับประทานสดเพียงอย่างเดียว คุณภาพของเหล้าองุ่นที่ได้จึงไม่สู้จะดี บางบริษัทผลิตเหล้าองุ่นจากพันธุ์ทำเหล้าองุ่นให้คุณภาพเป็นที่ยอมรับของนักดื่มได้ แต่ก็มีปัญหาเรื่องชนิดของพันธุ์องุ่นที่ใช้ผลิตมีจำกัด ปริมาณผลผลิต เทคนิคการผลิต การป้องกันกำจัดโรคแมลงและวัชพืชยังมีปัญหา จึงทำให้มีปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ราคาจำหน่ายสูงเกินไป

      มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร ได้นำพันธุ์องุ่นสำหรับทำไวน์มาศึกษาทดลองปลูกและได้นำผลผลิตไปทดลองทำไวน์ โดยสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิต ภัณฑ์อาหาร และคณะอุตสาหกรรมเกษตร พบว่าสำหรับองุ่นชนิดทำไวน์ขาวบางพันธุ์มีแนวโน้มให้คุณภาพของไวน์เป็นที่ยอมรับได้ ส่วนพันธุ์องุ่นทำไวน์แดง ยังมีปัญหาเรื่องผลผลิตต่ำ คุณภาพของไวน์ยังต้องปรับปรุง อย่างไรก็ตามปัญหาที่สำคัญคือ การขาดแคลนเงินงบประมาณในการผลิตองุ่น การดูแลรักษา การขาดอุปกรณ์ที่สำคัญในการผลิตไวน์ จึงทำให้การวิจัยไม่ต่อเนื่องต้องหยุดชะงักไป

      ไวน์นับเป็นสินค้านำเข้าที่ได้รับความนิยมสูงในช่วง 9-10 ปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากข้อมูลทางด้านสุขภาพ และความเป็นสากลนิยม จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่หลายคนกล่าวว่า ทำให้เสียเงินตราแก่ต่างประเทศ การผลิตไวน์ นับว่าเป็นการแปรสภาพผลิตผลการเกษตรให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (Value Added) นอกจากนี้การตลาดของไวน์ได้ถูกกระแสสังคมชักนำ จนไวน์เป็นสินค้าที่มีศักยภาพการตลาดโดยอัตโนมัติ

      การผลิตไวน์ที่ดีขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ คุณภาพขององุ่น ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่ศึกษาทางการปลูกองุ่น และคุณภาพของไวน์ ซึ่งผู้รับผิดชอบคือผู้ที่ศึกษาทางด้านการหมัก ถ้าปัจจัย 2 ประการนี้ สามารถกระทำได้ดีในระดับสูงสุดแล้ว ย่อมเป็นการประกันได้ว่า ไวน์ที่ได้จะมีคุณภาพดีที่สุด ดังนั้นการผลิตไวน์จำเป็นอย่างยิ่งต้องได้รับการพัฒนาค้นคว้าวิจัย ต้องมีเทคโนโลยีในการผลิตที่เหมาะสม ใช้อุปกรณ์เครื่องมือที่ถูกต้อง การใช้เชื้อยีสต์ที่ดี มีการวิเคราะห์คุณภาพทุกขั้นตอนของการผลิตไวน์ การเก็บ บ่ม การปรุงแต่งให้ไวน์มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของนักดื่มทั้งของคนไทยและต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การพัฒนาการผลิตองุ่น และการพัฒนาการทำไวน์ให้มีคุณภาพดีทัดเทียมกับของต่างประเทศได้ต่อไป

      ศาสตราจารย์ ปวิณ ปุณศรี ผู้ริเริ่มบุกเบิกงานวิจัยและพัฒนาการผลิตองุ่นได้กล่าวไว้เมื่อเดินทางไปเยี่ยมชมแปลงปลูกองุ่นของสถานีวิจัยกาญจนบุรีในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ว่าบริเวณจุดที่ตั้งของ สถานีฯ หมู่ที่ 9 ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีสภาพพื้นที่และสภาพอากาศเฉพาะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตขององุ่น ซึ่งตรงกับคำในภาษาฝรั่งเศสที่ว่ามีแตรัว(Terrior) ที่เหมาะกับการปลูกองุ่นและน่าจะเป็นแหล่งปลูกองุ่นที่ดีที่สุดในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ กล่าวคือบริเวณดังกล่าวมีสภาพอากาศแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงยาวนาน แต่มีปริมาณน้ำมากเพียงพอต่อการกักเก็บและให้น้ำเพื่อการปลูกพืชทั้งจากปริมาณน้ำฝน และโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำแควใหญ่ สภาพอากาศที่ร้อนในเวลากลางวันและค่อนข้างเย็นในเวลากลางคืนบริเวณดังกล่าวเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตขององุ่น เพราะจะช่วยลดอัตราการเกิดโรค ที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้าง โรคแอนแทรคโนส เป็นต้น ซึ่งจะมีผลต่อการลดต้นทุนในการผลิตและได้องุ่นที่มีคุณภาพปลอดภัยต่อการบริโภคทั้งองุ่นรับประทานสดและองุ่นพันธุ์ทำไวน์

       อีกทั้งบริเวณโดยรอบสถานีฯ ในเขตปฏิรูปที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ซึ่งมีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ สามารถที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งปลูกองุ่นที่ดีที่สุดในประเทศไทย โดยมีสถานีวิจัยกาญจนบุรี เป็นศูนย์กลางความรู้ทางวิชาการและการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิต ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวจึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่จะพัฒนาสถานีวิจัยกาญจนบุรีให้เป็นศูนย์วิจัยองุ่นและการทำไวน์ของมหาวิทยาลัยฯ เพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นเลิศทางวิชาการในการเป็นต้นแบบและการเป็นผู้นำของเรื่ององุ่นและการทำไวน์ นอกจากนี้เพื่อให้เป็นศูนย์กลางความรู้เกี่ยวกับองุ่นในทุก ๆ องค์ความรู้ เช่น เทคโนโลยีการผลิตองุ่นรับประทานสด และองุ่นพันธุ์ทำไวน์ที่ดี (Good Agricultural Practice) เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง และมีผลผลิตสูง เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์องุ่นที่มีศักยภาพด้านการตลาดในระดับนานาชาติทั้งชนิดรับประทานสด และพันธุ์ทำไวน์ และมีเทคโนโลยีการผลิตไวน์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่นที่ได้มาตราฐาน สามารถแข่งขันในตลาดการค้าเสรีระดับนานาชาติได้



   พันธุ์องุ่นทำไวน์ขาวที่ปลูก ณ สถานีวิจัยกาญจนบุรีปีพ.ศ.2547



พันธุ์องุ่นทำไวน์แดงที่ปลูก ณ สถานีวิจัยกาญจนบุรีปีพ.ศ.2547

 
1สถาบันค้นคว้าและพัฒนาระบบนิเวศเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์