การศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
 
สมชาย แสวงกิจ
วิทยาลัยสิ่งแวดล้อม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

โทร. 0-2579-2116

"…..ปัญหาสำคัญ คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องน้ำเสียกับขยะ ได้ศึกษามาแล้วเหมือนกัน ทำไม่ยากนัก ในทางเทคโนโลยีทำได้ แล้วในเมืองไทยเองก็ทำได้….."
"…..แล้วก็ต้องทำการเรียกว่า การกรองน้ำ ให้ทำน้ำนั้นไม่ให้โสโครก แล้วปล่อยน้ำลงมาที่เป็นที่ทำการเพาะปลูก หรือทำทุ่งหญ้า หลังจากนั้นน้ำที่เหลือก็ลงทะเลโดยที่ไม่ทำให้น้ำนั้นเสีย….."


    พระราชดำรัสดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงออกถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยและทรงตระหนักถึงปัญหามลภาวะ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งนับวันจะเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างรวดเร็วและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา สาเหตุสำคัญประการหนึ่ง คือ ชุมชน และเมืองต่างๆ ส่วนใหญ่ยังขาดระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ หรืออาจเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการกำจัดขยะมูลฝอยและบำบัดน้ำเสียนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงทั้งในการก่อสร้างและการบำรุงรักษา และจากกระแสพระราชดำรัสข้างต้นนี้เอง จึงเป็นที่มาของโครงการต้นแบบการบำบัดน้ำเสียและการกำจัดขยะมูลฝอยโดยวิธีธรรมชาติที่มีชื่อว่า "โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ"
    พื้นที่ดำเนินงานศึกษาวิจัยของโครงการฯ ตั้งอยู่บริเวณบ้านพะเนิน ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ห่างจากเทศบาลเมืองเพชรบุรี ประมาณ 22 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 642 ไร่ เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ติดทะเล และบางส่วนแต่เดิมเคยเป็นพื้นที่ทำนาเกลือมาก่อน
    ชุมชนเทศบาลเมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่สำคัญสายหนึ่งของ ภาคตะวันตก มีประชากรประมาณ 45,000 คน แต่เดิมมีการใช้ประโยชน์จากน้ำในแม่น้ำทั้งในการอุปโภค บริโภค เกษตรกรรม และการคมนาคม นอกจากนี้ได้มีการนำน้ำจากแม่น้ำเพชรบุรีไปใช้ในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ต่อมา ระยะหลังก่อนมีการดำเนินโครงการฯ คุณภาพน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีมีสภาพเสื่อมโทรมลงมาก โดยในแต่ละวันจะมีน้ำเสียถูกปล่อยลงสู่แม่น้ำเพชรบุรีประมาณ 3,500 - 4,500 ลูกบาศก์เมตร ทำให้น้ำในแม่น้ำเกิดการเน่าเสีย จนไม่สามารถนำน้ำมาใช้ในการอุปโภคและบริโภคได้ ทั้งนี้เป็นผลมาจากกิจกรรมในการใช้น้ำในรูปแบบต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก
    การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรในเขตเทศบาลฯ และการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากจะส่งผลกระทบถึงปัญหาน้ำเสียชุมชนแล้ว ปัญหาที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปัญหาการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะมูลฝอยในแต่ละวัน ปัจจุบันมีปริมาณขยะมากถึง 40 ตัน และยังมีวิธีการกำจัดที่ไม่ถูกต้อง บางส่วนถูกกองทิ้งไว้กลางแจ้ง และบางแห่งยังมีการทิ้งลงสู่แม่น้ำ ก่อให้เกิดปัญหาการปนเปื้อนของมลสารในดินและน้ำใต้ดิน ปัญหาการแพร่กระจายของเชื้อโรค และปัญหาการส่งกลิ่นเหม็น เป็นต้น

    โครงการฯ ได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อหาเทคโนโลยีในการกำจัดขยะและบำบัดน้ำเสียชุมชนโดยยึดหลักการตามแนวพระราชดำริ กล่าวคือ การให้ธรรมชาติช่วยเหลือธรรมชาติด้วยกันเองอาศัยกลไกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ การเติมอากาศจากพืช สาหร่าย ลม และแสงแดด ทั้งนี้โดยใช้วิธีการในการจัดการเพื่อสนับสนุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีในการกำจัดขยะและบำบัดน้ำเสียของโครงการฯ ได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยและพัฒนามาอย่างเป็นขั้นตอนและผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กระบวนการกำจัดและบำบัด และการนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ทางสังคม การประชาสัมพันธ์ และสิ่งแวดล้อมศึกษา ซึ่งเทคโนโลยีตามแนวพระราชดำริในการกำจัดขยะและบำบัดน้ำเสียชุมชนดังกล่าวประกอบด้วย
    เทคโนโลยีการกำจัดขยะ
    ร้อยละ 50 ของขยะชุมชนโดยทั่วไปจะเป็นขยะอินทรีย์ (ขยะเน่าเสีย) ที่สามารถย่อยสลายได้ง่าย ส่วนที่เหลือเป็นพวกที่ไม่ย่อยสลาย จึงสามารถนำไปผ่านกระบวนการเพื่อนำกลับใช้ประโยชน์ได้ใหม่ และส่วนที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้จะถูกนำไปฝังกลบอย่างถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล โครงการฯ ได้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการกำจัดขยะชุมชน ด้วยวิธีการนำขยะมาหมักทำปุ๋ยโดยการประยุกต์การฝังกลบตามหลักสุขาภิบาลมาทำในกล่องคอนกรีต ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดปัญหาการสูญเสียพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อความประหยัดค่าใช้จ่าย และเพื่อความสะดวกในการนำปุ๋ยที่ได้จากการหมักมาใช้ประโยชน์ สำหรับเทคโนโลยีนี้จะใช้ขยะอินทรีย์ใส่ในกล่องคอนกรีตเป็นชั้น ๆ ระหว่างชั้นจะใส่ดินแดงหรือดินนา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ และมีการรดน้ำเพิ่มความชื้นและลดอุณหภูมิในกระบวนการหมัก ซึ่งใช้ระยะเวลาในการทำปุ๋ยหมักจากขยะเพียง 90 วัน

    เทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสีย
    การบำบัดน้ำเสียชุมชน โครงการฯ ได้จัดการรวบรวมน้ำเสียและลำเลียงจากเทศบาลเมืองเพชรบุรีไปตามท่อยาวประมาณ 18.5 กิโลเมตร เข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสียของโครงการฯ ที่ตำบลแหลมผักเบี้ย อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี โดยใช้กระบวนการทางธรรมชาติตามแนวทางพระราชดำริ ซึ่งแบ่งเทคโนโลยีการบำบัดน้ำเสียออกเป็น 4 ระบบ คือ
    1. ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย (Lagoon Treatment) เป็นระบบที่อาศัยการกักพักน้ำเสียไว้ในระยะเวลาที่เหมาะสมกับปริมาณความสกปรกของน้ำ การเติมออกซิเจนด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอน และสาหร่าย อาศัยแรงลมช่วยในการพลิกน้ำเติมอากาศ การย่อยสลายสารอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์ และระยะเวลากักพักน้ำจะช่วยฆ่าเชื้อโรค ระบบบ่อบำบัดน้ำเสียของโครงการฯ ประกอบด้วย บ่อตกตะกอน 1 บ่อ บ่อผึ่ง 3 บ่อ และบ่อปรับสภาพ 1 บ่อ โดยเชื่อมต่ออย่างเป็นอนุกรม สามารถรองรับปริมาณน้ำเสียสูงสุดได้ 10,000 ลูกบาศก์เมตร/วันโดยน้ำเสียจะถูกลำเลียงจากเทศบาลเมืองเพชรบุรีเข้าสู่บ่อตกตะกอน แล้วผ่านไปยังบ่อผึ่ง 1 2 และ 3 ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่บ่อปรับสภาพคุณภาพน้ำเป็นขั้นสุดท้าย ทั้งนี้น้ำเสียแต่ละบ่อ จะไหลล้นผ่านอาคารระบายน้ำด้านบนและเชื่อมต่อกันทางตอนล่างของบ่อถัดไปเป็นลำดับ สำหรับระบบนี้มีประสิทธิภาพการบำบัดความสกปรกในรูปของบีโอดีได้ถึงร้อยละ 85-90

    2. ระบบพืชและหญ้ากรองน้ำเสีย (Plant and Grass Filtration) เป็นระบบที่ให้พืชช่วยดูดซับธาตุอาหารจากการย่อยสลายสารอินทรีย์เป็นสารอนินทรีย์ที่พืชต้องการของจุลินทรีย์ในดิน การปลดปล่อยออกซิเจนจากกระบวนการสังเคราะห์แสงจากระบบราก สาหร่าย และแพลงค์ตอน โดยการปล่อยให้น้ำเสียไหลผ่านแปลงพืชหรือหญ้า โดยน้ำเสียจะไหลผ่านผิวดินและต้นพืชหรือหญ้าเป็นระยะทางอย่างน้อย 50 เมตร ระดับความสูงของน้ำเสียที่กักขังบริเวณท้ายแปลงเท่ากับ 30 เซนติเมตร สำหรับระยะเวลาเก็บกักที่เหมาะสม คือ ขังน้ำเสียไว้ 5 วัน แล้วปล่อยให้แห้ง 2 วัน เพื่อให้จุลินทรีย์ได้พักตัว สำหรับพืชและหญ้าที่ใช้ในการบำบัดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ หญ้าอาหารสัตว์ ได้แก่ หญ้าคาลลา หญ้าโคสครอส และหญ้าสตาร์ พืชทั่วไป ได้แก่ ธูปฤาษี กกกลม (กกจันทบูร) และหญ้าแฝกพันธุ์อินโดนีเซีย เมื่อครบระยะเวลา 45 วัน (ยกเว้นธูปฤาษี 90 วัน) จะตัดพืชและหญ้าเหล่านั้นออก เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ซึ่งหญ้าเหล่านี้นำไปใช้ในการเลี้ยงสัตว์ได้ เนื่องจากการปนเปื้อนของมลสารไม่เกินมาตรฐานสำหรับสัตว์ ส่วนพืชทั่วไปนำไปใช้ในการจักสานได้เป็นอย่างดี

   3. ระบบพื้นที่ชุ่มน้ำเทียม (Constructed Wetland) เป็นระบบที่ใช้หลักการและกลไกในการบำบัดน้ำเสียเช่นเดียวกับระบบพืชและหญ้ากรอง จะแตกต่างกันที่วิธีการ กล่าวคือ การปล่อยให้น้ำเสียขังในแปลงพืชน้ำ ที่ระดับความสูง 30 เซนติเมตรจากพื้นแปลง โดยให้น้ำเสียมีระยะเวลากักพักอย่างน้อย 1 วัน ใช้การเติมน้ำเสียใหม่ลงสู่ระบบให้ได้ระดับ 30 เซนติเมตร ซึ่งเท่ากับปริมาณน้ำเสียที่สูญหายไปโดยกระบวนการระเหยในแต่ละวัน และอีกวิธีการหนึ่งคือ การเติมน้ำเสียใหม่ลงสู่ระบบอย่างต่อเนื่องตลอดวัน โดยที่อัตราความเร็วของน้ำเสียเท่ากับปริมาณน้ำเสียใหม่ที่สามารถผลักดันไล่น้ำเสียเก่าออกจากระบบหมดในเวลา 1 วัน สำหรับพืชที่ใช้ในการบำบัดคือ ธูปฤาษี และกกกลม (กกจันทบูร) เมื่อครบระยะเวลาจะตัดพืชเหล่านั้นออก เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ระยะเวลาที่เหมาะสม คือ 90 วันสำหรับธูปฤาษี และ 45 วันสำหรับกกกลม (กกจันทบูร) พืชเหล่านี้นำไปใช้ในการจักสาน เยื่อกระดาษ และเชื้อเพลิงเขียวได้

    4. ระบบแปลงพืชป่าชายเลน (Mangrove Forest Filtration) เป็นการบำบัดน้ำเสียโดยใช้แปลงพืชป่าชายเลน ใช้หลักการเจือจางระหว่างน้ำเสียกับน้ำทะเล และกักพักน้ำเสียกับน้ำทะเลที่ผสมกันแล้วไว้ระยะเวลาหนึ่งโดยการเลียนแบบธรรมชาติตามระยะเวลาการขึ้น-ลงของน้ำทะเลในแต่ละวัน เพื่อให้เกิดการตกตะกอนของสารอินทรีย์ในน้ำเสีย อาศัยระบบรากของพืชป่าชายเลนช่วยในการปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนเติมให้กับน้ำเสียและจุลินทรีย์ในดิน เพื่อให้กลไกการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ในดินในการบำบัดน้ำเสียมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับสัดส่วนในการผสมระหว่างน้ำเสียและน้ำทะเลจะมีสัดส่วนมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยความสกปรกของน้ำเสียในรูปบีโอดี ที่ตรวจวัดได้

แบบจำลองการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสีย สำหรับพระภิกษุในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี
    การวิจัยเรื่องแบบจำลองการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสียสำหรับพระภิกษุในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบจำลองการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสียสำหรับประชากรซึ่งเป็นพระภิกษุ จำนวน 37 รูป เป็นบุคคลที่บวชเป็นสมณเพศโดยถูกต้องตามหลักพุทธศาสนามาแล้วอย่างน้อย 3 พรรษา และอยู่ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี โดยยังไม่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรพระสังฆาธิการอาสาสมัครสิ่งแวดล้อม
    เครื่องมือในการวิจัย เป็นแบบจำลองการฝึกอบรม ประกอบไปด้วย คู่มือการใช้แบบจำลองการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสียสำหรับพระภิกษุในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี สื่อสิ่งพิมพ์เรื่องความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสีย วิทยากรบรรยายเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและบำบัดน้ำเสีย เบื้องต้น สื่อวีดิทัศน์แนะนำโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การศึกษาดูงานพื้นที่โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจาก พระราชดำริ และแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ เจตคติ ความสำนึก การตอบโต้ และทักษะ เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสีย โดยกระบวนการสร้างแบบจำลองการฝึกอบรมเพื่อสร้างความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสียสำหรับพระภิกษุใน เขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี สรุปได้ดังภาพ

    การสร้างแบบจำลองการฝึกอบรม ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในด้านค่าความตรง ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น และค่าความเป็นปรนัย ปรากฏผลการเรียนรู้ในเรื่องความรู้เกี่ยวกับขยะและน้ำเสีย 5 ระดับ คือ ความรู้ เจตคติ ความสำนึก การตอบโต้ และทักษะ โดยมีผลของการเรียนรู้ของพระภิกษุหลังการใช้แบบจำลองการฝึกอบรมโดยมีค่าคะแนนเฉลี่ย ร้อยละคือ ด้านความรู้ ได้คะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมร้อยละ 81.20 ด้านเจตคติ ได้คะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมร้อยละ 86.50 ด้านความสำนึก ได้คะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมร้อยละ92.43 ด้านการตอบโต้ ได้คะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมร้อยละ 80.10 และด้านทักษะ ได้คะแนนเฉลี่ยหลังการฝึกอบรมร้อยละ 75.10 ซึ่งได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมตั้งไว้ ร้อยละ 70 (เกษม, 2545) ทุกจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ดังนั้นจึงสรุป ได้ว่า แบบจำลองการฝึกอบรมจะช่วยเสริมสร้างให้ผู้เข้ารับการ ฝึกอบรมมีความรู้เกี่ยวกับการกำจัดขยะและการบำบัดน้ำเสียที่ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ กนิษฐา กอวัฒนา (2530: 8) ที่ได้กล่าวถึงฝึกอบรมไว้ว่า เป็นกระบวนการอันที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรม เกิดความรู้ความเข้าใจ เจตคติ และความชำนาญเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนกระทั่งผู้เข้ารับการฝึกอบรม เกิดความรู้ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมนั้น ๆ