ไนเตรต
(NO3 )และไนไตรท์ (NO2) เป็นสารเคมีที่ถูกใช้เป็นสารกันเสียในอาหารเนื้อสัตว์ทุกประเภท
เช่น ปลาช่อนแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อกระป๋อง หมูแฮม เบคอน แหนม กุนเชียง
ปลาร้า เป็นต้น ในรูปของเกลือโซเดียมและโปตัสเซียมไนเตรต (ดินประสิว)
และไนไตรท์ สามารถป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Clostridium botulinum
ซึ่งสามารถผลิตสารพิษที่เป็นอันตรายรุนแรงและเฉียบพลันถึงชีวิตแก่มนุษย์ได้
นอกจากนี้ไนเตรตและไนไตรท์ยังถูกใช้เป็นสารแต่งสีอาหารเนื้อสัตว์ ทำให้เกิดสีแดงของเม็ทฮีโมโกลบิน
และ ไนโตรซิลไมโอโกลบิน ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ดูน่ารับประทานปริมาณโซเดียมไนเตรตและไนไตรท์ที่ยอมให้มีในอาหารได้ไม่เกิน
500 มก./กก. อาหารและ 125 มก./กก. อาหารตามลำดับ การที่ต้องกำหนดปริมาณสารเคมีทั้งสองนี้ในอาหารเพราะสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค
โดยเฉพาะผู้ที่มีปฏิกริยาตอบสนองไวต่อสารนี้เป็นพิเศษ จะมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน ปวดท้องท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด และปวดศีรษะ ไนไตรท์สามารถทำปฎิกริยากับเอมีน
(amines) ในอาหารกลายเป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรง คือไนโตรซามีนซึ่งทำให้เกิดมะเร็งตับ
กระเพาะอาหาร และหลอดอาหาร (Madhavi and Salunkhe} 1995) เด็กทารกที่มี
เม็ทฮีโมโกลบินมากจะขาดออกซิเจนเพราะขนส่งออกซิเจนไม่ได้ และถ้ามีมากกว่า
60 % ของปริมาณฮีโมโกลบินทั้งหมดในเลือดจะเสียชีวิต (Hill, 1991) นอกจากนี้ไนไตรท์ยังก่อให้เกิดปัญหาต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์อีกด้วย
ไนเตรตสามารถเปลี่ยนเป็นไนไตรท์ในอาหารและในร่างกายมนุษย์ได้
โดยปฏิกริยาของแบคทีเรีย (Mirvish, 1983) และแหล่งสำคัญของไนเตรตในอาหารของมนุษย์
คือ น้ำและผัก ทั้งนี้เพราะไนเตรตเป็นรูปของธาตุไนโตรเจนที่พืชต้องการสำหรับการเติบโต
หากพืชได้รับมากเกินไปก็จะสะสมไว้โดยเฉพาะในผักกินใบและผักกินรากหลายประเทศจึงมีการกำหนดปริมาณสูงสุดของ
ไนเตรตในผักสดและผลไม้ที่จะนำมาบริโภคต้องไม่เกิน 4000 มก./กก. น้ำหนักสด
(European Commision, 1997, Wadsworth, GA 1987 ปริมาณการสะสมของไนเตรตขึ้นกับชนิดของพืช
อายุพืช ฤดูกาลปลูกและชนิดของปุ๋ยไนโตรเจนที่ให้กับพืช (Maynard, DN
and A.V Baker, 1972)
วิธีการทดลอง
การศึกษาถึงผลกระทบของปุ๋ยเคมี
(ยูเรีย) และปุ๋ยหมักที่มีต่อปริมาณไนเตรตไนไตรท์ ในผักบุ้งจีน โดยให้ในระดับ
7 และ 14 กรัมไนโตรเจน ต่อกะบะ ใช้การวางแผนการทดลองแบบ split-plot
ใน CRD. จำนวน 3 ซ้ำ โดยดินที่ใช้ปลูกเป็นดินจากโรงเรียนโนนดู่ จังหวัดนครราชสีมา
ซึ่งทำการวิเคราะห์ปริมาณแร่ธาตุต่างๆ ในดินแล้ว
ผลของการทดลองพบว่า
ผักที่ใช้ปุ๋ยยูเรียจะมีการสะสมไนเตรตและไนไตรท์สูงกว่าปุ๋ยหมักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05
ทั้งนี้เพราะปุ๋ยเคมีสามารถละลายน้ำได้ดี และปล่อยธาตุไนโตรเจนออกมาเป็นอาหารพืช
ได้เร็วกว่าปุ๋ยหมัก ทำให้พืชดูดซับได้เร็วและสะสมได้มากขณะเจริญเติบโต
ระดับการสะสมไนเตรตของผักจะเพิ่มขึ้นตามระดับปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นด้วย
ปริมาณสูงสุดของไนเตรตในผักบุ้งจีนที่ใช้ปุ๋ยยูเรีย ระดับ 14 กรัม
ไนโตรเจนจะเท่ากับ 3374 มก./กก. ผักสด ส่วนไนไตรท์มีประมาณ 7 มก./กก.
ผักสด ซึ่งสูงกว่าการใช้ปุ๋ยหมักถึง 4 เท่า และ 2 เท่าตามลำดับ ดังนั้นในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการได้รับไนเตรต
ไนไตรท์มากเกินไป จึงควรใช้ปุ๋ยหมักในการเพาะปลูกผักจะดีกว่าและไม่ควรใช้ปุ๋ยในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นเพราะเมื่อทดลองให้เด็กอายุ
9-13 ปี ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 28 คน โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มเด็กที่มีภาวะโภชนาการปกติเมื่อประเมินด้วยน้ำหนักตามส่วนสูงเด็กทั้งสองปริมาณฮีมาโตคริตและฮีโมโกลบินเป็นจำนวน
14 คน อีก 14 คนเป็นเด็กที่มีภาวะโภชนาการต่ำกว่าเกณฑ์ในระดับหนึ่ง
กลุ่มนี้ตรวจไม่พบการติดเชื้อพยาธิและไม่มีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะใดๆ
หลังจากบริโภคผักแล้วเก็บปัสสาวะตลอด 24 ชั่วโมงมาวิเคราะห์ปริมาณ
เอ็น-ไนโตรโซโพลีน ซึ่งเป็นดัชนีชี้บ่งการสังเคราะห์สารประกอบไนโตรซามีนในร่างกายพบว่าการเกิดสารไนโตรโซโพลีนเพิ่มขึ้นตามปริมาณไนเตรตที่บริโภค
และไม่พบความแตกต่างของการเกิดสารประกอบ เอ็น-ไนโตรโซโพลีนของเด็กทั้งสองกลุ่ม
แต่การเพิ่มขึ้นของไนไตรท์ในน้ำลายเด็กภาวะโภชนาการต่ำมีอัตราสูงกว่าเด็กปกติ
ซึ่งอาจมีผลมาจากสุขอนามัยในช่องปากของเด็ก ส่วนหนึ่งหร่วมกับปริมาณไนเตรตที่บริโภค
เด็กที่มีภาวะโภชนาการต่ำก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสารก่อมะเร็ง
เพราะเด็กที่มีภาวะโภชนาการต่ำมาก จะเกิดการฝ่อของเซลล์ในกระเพาะทำให้มี
pH สูงกว่า 5.0 ซึ่งเท่ากับสนับสนุนการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เปลี่ยนไนเตรตเป็นไนไตรท์มากขึ้น
(Kyrtopoulos, SA 1989.)
ตารางที่ 1 ปริมาณไนเตรตในผักบุ้งจีน
ตารางที่ 2 ปริมาณไนไตรท์ในผักบุ้งจีน
หมายเหตุ ตัวอักษรที่เหมือนกันแสดงว่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ
.05
ตารางที่ 3 เปรียบเทียงปริมาณไนเตรต
ไนไตรท์และ เอ็น-ไนโตรโซโพลีนในเด็กทั้ง 2 กลุ่ม
(เก็บตัวอย่าง 3 วัน)
หมายเหตุ น้ำลายเก็บในชั่วโมงที่
2 หลังจากบริโภคผิดแล้ว
ตารางที่ 4 ความสัมพันธ์ของการบริโภคไนเตรตกับการเกิด
เอ็น-ไนโตรโซโพลีน
|