การปลูกเผือก

[youtube]http://www.youtube.com/watch?v=AMlLCiVSmjk[/youtube]

บทวิทยุ รายการ “ จากแฟ้มงานวิจัย  มก.”

ออกอากาศวันเสาร์ที่ 1 เดือน มีนาคม  พ.ศ. 2557

เรื่อง การปลูกเผือก

บทวิทยุโดย  วิทวัส ยุทธโกศา

 

………………………………………………………………………………………………………

 

-เพลงประจำรายการ-

 

                   สวัสดีครับ คุณผู้ฟังทุกท่านครับ พบกับรายการ  “ จากแฟ้มงานวิจัย  มก. ” ซึ่งออกอากาศ ทางสถานี วิทยุ มก. แห่งนี้ เป็นประจำทุกวันเสาร์  รายการนี้ผลิตโดย  ฝ่ายเผยแพร่งานวิจัย  สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  และสำหรับวันนี้กระผมขอเสนอ เรื่อง  “ การปลูกเผือก”   ครับ                                                                        

                   คุณผู้ฟังครับ เผือกเป็นพืชเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นที่สำคัญอีกพืชหนึ่ง   คนไทยนิยมบริโภคเผือกเพราะมีกลิ่นหอมและรสชาดดี  เป็นพืชหัวที่เป็นพืชอาหารที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง  หัวเผือกจะมีส่วนประกอบเป็นพวกแป้งและแร่ธาตุต่าง ๆ  ส่วนใบประกอบไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุ   ซึ่งใบเผือกสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย   และมีเผือกบางประเภทที่ใช้ใบสำหรับบริโภคซึ่งหัวจะมีขนาดเล็กไม่เหมาะต่อการบริโภค   ปัจจุบันเผือกกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศครับ

                คุณผู้ฟังครับ เผือกเป็นพืชหัวที่มีต้นคล้ายบอน  มีความต้องการน้ำ  หรือความชื้นในการเจริญเติบโตค่อนข้างสูง   เผือกจึงชอบดินที่อุดมสมบูรณ์   และสามารถอุ้มน้ำไว้ได้มาก   สามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทยในแหล่งที่มีระบบน้ำชลประทานดีจะสามารถปลูกเผือกได้ตลอดทั้งปี    ส่วนในแหล่งที่มีน้ำจำกัดควรปลูกเผือกในช่วงฤดูฝนเท่านั้น   เผือกปลูกได้ทั้งที่ลุ่มและที่ดอน   สภาพไร่  ที่ราบสูงไหล่เขา   และปลูกได้ในดินหลายชนิด   ยกเว้นดินลูกรัง   ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกเผือกมากที่สุด นั่นก็คือ  ดินร่วนปนทราย   มีอินทรีย์วัตถุสูง  หน้าดินลึก  ระบายน้ำดี   โดยปกติจะใส่ปุ๋ยอินทรีย์    เช่น ปุ๋ยคอก  หรือปุ๋ยหมักจำนวนมากก่อนปลูกโดนหว่าน  และไถกลบก่อนปลูก  2 – 3  เดือน  และเพิ่มปุ๋ยไนโตรเจน  และโปรแตสเซียม  ระหว่างพืชเจริญเติบโตจะให้ผลดีครับ  ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน  อยู่ที่ระหว่าง  5.5 – 6.5  อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตประมาณ  21 – 27  องศาเซลเซียส   โดยทั่วไปจะปลูกเผือกในระดับความสูงไม่เกิน  1,000  เมตรจากระดับน้ำทะเลครับ ช่วงนี้พักกันก่อนสักครู่นะครับ

 

-เพลงคั่นรายการ-

                 กลับมาฟังกันต่อนะครับ เผือกเป็นพืชหัวที่มีลำต้นใต้ดินสะสมอาหารเรียกว่า  หัวซึ่งเกิดจากการขยายของลำต้นใต้ดิน  พร้อมกับความยาวของลำปล้องลดลง  เมื่อหัวมีขนาดใหญ่จะมีรากช่วยดึงหัวให้ลึกลงในดิน   ที่ปลายรากเหล่านี้จะพองโตขึ้นเป็นหัวย่อยที่มีขนาดเล็ก   หรือเรียกว่า ลูกเผือก   ซึ่งจะทำหน้าที่ยึดลำต้น    ช่วยดูดน้ำและแร่ธาตุ   และสามารถใช้เป็นส่วนที่ขยายพันธุ์ได้ต่อไปครับ

               คุณผู้ฟังครับ ใบเผือกมีรูปร่างคล้ายหูช้าง  หรือคล้ายหัวใจ   ขนาดใบกว้างประมาณ  25 – 30  เซนติเมตร  ยาว  35 – 45  เซนติเมตร   ก้านใบยาว  45 – 150  เซนติเมตร   เผือกต้นหนึ่งจะมีก้านใบประมาณ   12 – 18  ก้าน  สีของก้านใบ  ลักษณะใบและขอบใบจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์  เช่น  ก้านใบจะมีสีเขียวอ่อนเขียวเข้ม   ม่วง  หรือจุดสีม่วง   ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น   ปลายใบอาจแหลมหรือมน  ตัวใบอาจจะหนาและเป็นมันหรือบางและด้านครับ

                   ดอกจะมีลักษณะเป็นช่อดอก   มีดอกย่อยเกาะติดกับก้านดอกเดียวกัน   ดอกย่อยจะเริ่มบานจากดอกที่อยู่ล่างสุดขึ้นไปทางปลายช่อ   ไม่มีก้านดอกย่อย   ดอกจะเกาะติดกับก้านดอกเดี่ยว  ซึ่งลักษณะยาวและมีจานหุ้มช่อดอกไว้   ช่อดอกมีขนาดยาว  10 – 15  เซนติเมตร  จำนวนช่อดอกประมาณ  5 – 15  ช่อต่อต้น  ช่อดอกมีก้านยาว  15 – 30  เซนติเมตร  ดอกเผือกมีสีขาวครีม   และสีเหลืองอ่อน   แตกต่างกันไปตามพันธุ์    บางพันธุ์ออกดอกง่าย  แต่บางพันธุ์ออกดอกยาก  เผือกที่ปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะไม่ออกดอกครับ

                    ผลของเผือกมีขนาดเล็ก  เป็นผลเล็ก ๆ เกาะกลุ่มอยู่ในก้านดอกเดี่ยวกัน   ผลจะมีสีขาวเปลือกบาง  เนื้อผลอวบน้ำ  เมื่อแก่มีสีน้ำตาลดำภายในผลจะมีเมล็ดเล็ก ๆ  อยู่จำนวนมากครับช่วงนี้พักกันก่อนสักครู่นะครับ

 

-เพลงคั่นรายการ-

             

                   กลับมาฟังกันต่อครับ คุณผู้ฟังครับ ประเทศไทยมีเผือกมากมายหลายพันธุ์อยู่ด้วยกัน    ทางศูนย์วิจัยพืชสวนพิจิตรได้รวบรวมพันธุ์เผือกจากแหล่งต่าง ๆ  ทั้งในและต่างประเทศประมาณ  50  พันธุ์  สามารถจำแนกพันธุ์เผือกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ  ได้ดังนี้ครับ     จำแนกตามกลิ่นของหัว  มีสองประเภท คือ  เผือกหอม  เผือกชนิดนี้เวลาต้มหรือประกอบอาหารจะมีกลิ่นหอมได้แก่  เผือกหอมเชียงใหม่  พันธุ์ พจ. 016  พจ.08 และพจ.019    อีกประเภทหนึ่งคือ  เผือกชนิดไม่หอม  เผือกชนิดนี้เวลาต้มหรือประกอบอาหารจะไม่มีกลิ่นหอม   แต่เผือกชนิดนี้บางพันธุ์ถึงแม้จะไม่มีกลิ่นหอมแต่ก็มีข้อดีตรงที่มีลักษณะเนื้อเหนียวแน่น  น่ารับประทานเช่นกัน  ได้แก่  เผือกพันธุ์  พจ.06 และพจ.012

                    และการจำแนกอีกวิธีหนึ่ง คือ  จำแนกตาม  สีของเนื้อเผือก  มี 2 ประเภทด้วยกันครับ คือ   เผือกเนื้อสีขาวหรือสีครีม  เผือกชนิดนี้เมื่อผ่าดูเนื้อในจะพบว่ามี  สีขาว  หรือสีขาวครีม   ได้แก่เผือกพันธุ์  พจ.06 พจ.07 พจ.025 พจ.014  พันธุ์ศรีปาลาวี  และพันธุ์ศรีรัศมี                                                       

                    เผือกเนื้อสีขาวปนม่วง   เผือกชนิดนี้เมื่อผ่าหัวดูเนื้อ   จะพบว่ามีสีขาวลายม่วงปะปนอยู่  ซึ่งจะมีสีม่วงมากหรือน้อยแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์ได้แก่  เผือกหอมเชียงใหม่  พันธุ์  พจ.016  พจ.08  พจ.05  และพจ.020 

                    นอกจากนี้  ยังมีการจำแนกเผือกตามจำนวนหัวขนาดใหญ่ต่อต้น   คือ  เป็นหัวใหญ่หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งหัวต่อต้น   จำแนกตามการแตกกอ  เช่น  แตกกอน้อย  3 – 10  ต้น  ปานกลาง  10 – 20  ต้น  และมาก  คือมากกว่า  20  ต้นขึ้นไป

                   คุณผู้ฟังครับ เผือกเป็นพืชหัวที่สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี   ดังนี้  การเพาะเมล็ด  เป็นวิธีที่ง่ายแต่ใช้เวลานานกว่าจะย้ายปลูกลงแปลงได้  และในประเทศไทยเผือกแต่ละพันธุ์มีการออกดอกและติดเมล็ดน้อยเกษตรกรไม่นิยมขยายพันธุ์โดยวิธีการเพาะเมล็ด     การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ  เป็นวิธีการขยายพันธุ์เผือกที่ปลอดจากเชื้อที่ติดมากับต้นพันธุ์ได้เป็นปริมาณครั้งละมาก ๆ  แต่ต้นทุนการผลิตสูงเกษตรกรยังไม่นิยมขยายพันธุ์โดยวิธีนี้       การขยายพันธุ์โดยการใช้หน่อ   เป็นส่วนที่แตกออกมาเป็นต้นเผือกขนาดเล็กอยู่รอบ ๆ  ต้นใหญ่    เมื่อแยกออกมาจากต้นใหญ่   หรือต้นแม่แล้วสามารถนำไปลงแปลงได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเพาะชำ      การขยายพันธุ์โดยการใช้หัวพันธุ์  หรือที่เกษตรกรเรียกว่า  ลูกซอหรือลูกเผือก   ซึ่งเป็นหัวขนาดเล็กที่อยู่รอบ ๆ  หัวเผือกขนาดใหญ่   วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมทั่วไปทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ   แต่ในการปลูกในแต่ละครั้ง   ควรเลือกเผือกที่มีขนาดปานกลางไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป   หัวพันธุ์ที่มีขนาดสม่ำเสมอจะทำให้เผือกที่ปลูกแต่ละต้นลงหัวในเวลาใกล้เคียงกัน  เก็บเกี่ยวได้พร้อมกัน   และที่สำคัญจะทำให้ไม่มีหัวขนาดเล็กและใหญ่แตกต่างกันมาก

                    ประเทศไทยสามารถปลูกเผือกได้ทั่วทุกภาค และทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี   ซึ่งถ้าเป็นแหล่งที่มีน้ำชลประทานดีอยู่แล้ว  เกษตรกรจะปลูกเผือกเมื่อไรก็ได้   แต่โดยทั่วไปเกษตรกรนิยมปลูกเผือกในช่วงต้นฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน และฤดูแล้งช่วงหลังการทำนาเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์     ในช่วงฤดูฝนจะปลูกมากในสภาพพื้นที่ดอน  อาศัยน้ำฝน  มีบางท้องที่ปลูกในสภาพพื้นที่ลุ่ม หรือที่นา     ฤดูแล้ง  ปลูกหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว   หากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วภายในเดือนธันวาคม จะปลูกผักก่อนการปลูกเผือก ในเขตชลประทานจะสามารถปลูกเผือกได้ตลอดทั้งปีครับ

-เพลงคั่นรายการ-

 

                   คุณผู้ฟังครับ  เผือก  เป็นพืชหัวที่เก็บรักษาได้นานพอสมควร  หลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว  ควรนำเผือกไปไว้ในที่ร่มเงามีอากาศถ่ายเทได้สะดวก  ไม่อับลมเป็นที่ที่มีอากาศค่อนข้างเย็น   เช่น  ใต้ร่มไม้  หรือใต้ถุนบ้านเป็นต้นครับ   ต่อจากนั้นทำการแยกดินที่ติดกับหัวและแยกรากแขนง  คัดแยกหัวแต่ละขนาด   เช่น ใหญ่พิเศษ  ใหญ่  กลาง  และเล็ก  แล้วบรรจุใส่ภาชนะที่เหมาะสม  เช่น  ถุงพลาสติกขนาดใหญ่   แบบเจาะรูได้   หรืออาจเป็นเข่งหรือลังพลาสติก

                   ข้อควรปฏิบัติเพื่อเก็บรักษาหัวเผือกไว้ให้ได้นานที่สุดและไม่เน่าเสียง่ายมีดังนี้ครับ   ก่อนขุดหัวเผือกประมาณ  15 – 30  วัน  ไม่ควรเอาน้ำเข้าแปลงหรือรดน้ำแปลงเผือก เพราะเผือกจะดูดซึมน้ำไว้มาก  เก็บไว้ไม่ได้นาน   ขุดเผือกเฉพาะเมื่อเผือกมีอายุเก็บเกี่ยวผลผลิตได้  ไม่ควรเก็บเกี่ยวเผือกเมื่อมีอายุน้อยเกินไปจะเน่าเสียได้ง่าย     ในการขุดเผือกในแต่ละครั้ง   ควรขุดเผือกด้วยความระมัดระวังอย่าให้หัวเผือกมีบาดแผลบอบซ้ำเผือกจะเน่าเสียได้ง่าย  เมื่อพบว่าเผือกมีบาดแผลควรแยกไว้ต่างหากไม่ปะปนกัน กรณีที่จะขนส่งเผือกไปไกลๆ หรือจะเก็บเผือกไว้นานหลายเดือนไม่ควรล้างดินออก  ผึ่งให้แห้งสนิทอย่าให้เปียกชื้นก่อนที่จะนำเข้าไปเก็บในโรงเก็บ หรือขนส่งไกล ๆ ต่อไป   ในการขนส่งควรมีภาชนะใส่เผือกที่เหมาะสม  ซึ่งในต่างประเทศ  เช่น  ญี่ปุ่นจะใส่กล่องกระดาษสามารถใส่เผือกซ้อนกันได้   โดยเผือกไม่ทับถมกันเป็นปริมาณมาก  ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะนำเผือกใส่ถุงพลาสติกแล้วขนซ้อนกันเป็นปริมาณมาก  จึงมีผลหรือเป็นส่วนหนึ่งที่จะเก็บรักษาเผือกได้ไม่นาน ไม่ควรนำเผือกที่เก็บเกี่ยวได้มาสุมกองกันเป็นปริมาณมาก หรือขึ้นไปเหยียบย้ำเผือก   ควรนำเผือกที่จะเก็บรักษาไว้นาน ๆ  มาเก็บไว้เป็นชั้น ๆ  ห้องที่เก็บรักษาหัวเผือกนั้น  จะต้องมีการระบายอากาศได้สะดวกอุณหภูมิประมาณ  10 – 15   องศาเซลเซียส  

                   หากมีความจำเป็นต้องเก็บรักษาควรตัดใบ และรากทั้งหมดออกไม่ควรล้างน้ำ  การเก็บรักษาหัวเผือก  โดยการจุ่มลงไปในสารป้องกันเชื้อรา  แคปแทน  หรือ เบนเลท  ความเข้มข้น  500  ส่วนในล้านส่วน   แล้วเก็บรักษาไว้ในบ่อดินจะทำให้หัวเผือกเน่าเสียลดลง  ได้ผลกว่าการเก็บรักษาในขี้เลื่อยแห้ง   ขี้เลื่อยชื้นและถุงพลาสติก   หัวย่อยหรือลูกเผือกที่เก็บรักษาไว้ในบ่อดินใต้สภาพร่มและป้องกันน้ำฝนได้จะเก็บรักษาไว้ได้นาน   6 – 10  เดือน  อายุการเก็บรักษาขึ้นอยู่กับขนาดหัว   คือเผือกที่มีขนาดหัวเล็กจะเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าเผือกที่มีขนาดหัวใหญ่    นอกจากจะเก็บรักษาเผือกในรูปหัวเผือกสดแล้ว   ยังสามารถเก็บรักษาเผือกในรูปเผือกแห้ง  โดยทำการปอกเปลือกแล้วผ่าเผือกเป็นแผ่นบาง ๆ  ตากเผือกให้แห้งสนิท  เมื่อจะนำมาบริโภค  ก็สามารถนำไปนึ่ง  ทอด  หรือบด  เป็นแป้งเผือกได้ครับ ช่วงนี้พักกันก่อนสักครู่นะครับ

 

-เพลงคั่นรายการ-

 

                   กลับมาฟังกันต่อนะครับ คุณผู้ฟังครับ โรคของเผือกที่สำคัญ  คือ โรคใบไหม้  สาเหตุเกิดจากเชื้อรา  อาการที่พบ คือ  เกิดจุดสีน้ำตาลฉ่ำน้ำ  ขนาดหัวเข็มหมุด  ถึงขนาดเหรียญบาท  ปรากฏเห็นชัดบนผิวใบแผลขยายใหญ่ขึ้นเป็นวง ๆ ต่อกัน   ลักษณะพิเศษ  คือ  บริเวณขอบแผลมีหยดสีเหลืองข้น  ซึ่งต่อมาแห้งเป็นเม็ด  ๆ   เกาะอยู่เป็นวง ๆ  เมื่อบีบจะแตกเป็นผงละเอียด   สีสนิม   ในระยะที่รุนแรงแผลขยายติดต่อกัน  และทำให้ใบม้วนพับเข้าและแห้งเหี่ยว  หรืออาจเน่าและถ้าอากาศชื้นมีฝนพรำ   สำหรับอาการที่บนก้านใบ  จะเกิดแผลฉ่ำน้ำยาวรี  สีน้ำตาลอ่อน  แผลขยายใหญ่ขึ้นเป็นวง ๆ  เช่นกัน  ต่อมาจะเน่า  แห้ง  เป็นสีน้ำตาล  มีหยดสีเหลืองข้นด้วยทำให้ก้านต้านทานน้ำหนักใบไม่ได้จึงหักพับ  มีผลทำให้ใบแห้ง  พบมากในระยะโรครุนแรง  และมีลมพัด   อาการเป็นระยะนี้ทำให้ผลผลิตลดลง  และเชื้อนี้อาจเข้าทำลายหัวเผือกด้วยทำให้หัวเผือกเน่าเสียหายได้

ความสัมพันธ์ของความชื้นและอุณหภูมิจะมีผลต่อการเกิดโรคเชื้อราทำให้โรคมีการระบาดรุนแรงหากช่วงที่ได้รับเชื้อ   มีฝนตกพรำตอนใกล้รุ่ง  และตอนเช้าติดต่อกัน   มีฝนพรำทั้งวัน  และมีลมอ่อน ๆ เนื่องจากสภาพดังกล่าวเหมาะสมต่อการสร้างสปอร์เชื้อรา  ซึ่งเชื้อสร้างสปอร์บนใบเผือกได้ดีหากมีความชื้นสูง  และอุณหภูมิต่ำ

                    โรคนี้เป็นโรคที่รุนแรงที่สุดของเผือกที่พบในประเทศไทยและในต่างประเทศ  โรคนี้เริ่มระบาดเมื่อมีฝนตกและอากาศชุ่มชื้น  ถ้ามีฝนตกหนักและติดต่อกันหลาย ๆ วัน   โรคจะระบาดอย่างรวดเร็ว  ในแปลงที่เป็นรุนแรง   เผือกจะมีใบเหลือประมาณต้นละ  3 – 4  ใบ  เท่านั้น  เผือกที่เป็นโรคนี้ถ้ายังไม่เริ่มลงหัว  หรือลงหัวไม่โตนักจะเสียหายหมด  หัวที่จะลงไม่ขยายเพิ่มขนาดขึ้น  ในช่วงที่หมอกลงจัดเผือกจะเป็นโรคนี้ได้ง่ายเช่นกัน

               ป้องกันได้โดย หากพบว่าในเผือกเริ่มเป็นโรคใบจุดตาเสือ  ให้ตัดใบเผือกที่เป็นโรคไปเผาทำลายให้หมด  ไม่ควรปล่อยทิ้งหลงเหลืออยู่ในแปลง  เชื้อราจะปลิวไปยังต้นเผือกต้นอื่น ๆ ได้   ใช้พันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคใบจุดตาเสือ   ในแหล่งที่มีโรคนี้ระบาดมาก ๆ  ควรเปลี่ยนใช้พันธุ์เผือกที่ทนทานต่อโรคใบจุดตาเสือมาปลูกแทน  เช่น พันธุ์ พจ. 06    แยกแปลงปลูกเผือกให้ห่างกันเพื่อลดการแพร่กระจายของโรค    ไม่ควรเดินผ่านแถวเผือกในขณะที่แปลงเผือกชื้นแฉะ   เพราะทำให้เพิ่มการะบาดของเชื้อ     ใช้สารเคมี  ได้แก่ ริโดมิล  อัตรา  2 – 3 กรัมต่อต้น  หยอดลงไปที่โคนต้นจะสามารถป้องกันโรคได้ประมาณ  1  เดือน  หรือใช้สารคูปราวิท  50  %  อัตรา  80  กรัมต่อน้ำ  20  ลิตร  พ่นให้ทั่วทั้งต้น   5 – 7  วันต่อครั้ง   และเนื่องจากเผือกมีใบลื่นมาก  การฉีดสารเคมีทุกครั้งจึงควรใช้สารจับใบผสมลงไปด้วย   เพื่อให้สารเคมีจับใบเผือกได้นาน

               และอีกโรคหนึ่งคือ  โรคหัวเน่า  โรคนี้อาจเกิดได้ระหว่างการเก็บรักษาหัวเผือก   หรือปล่อยทิ้งไว้ในแปลงปลูกนานเกินไป   หรือมีน้ำท่วมขังแปลงปลูกเผือกในช่วงเผือกใกล้เก็บเกี่ยว  ป้องกันได้โดย  พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้หัวเผือกที่ใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวได้รับน้ำหรือความชื้นมากเกินไป  ถ้ามีน้ำท่วมขังควรสูบน้ำออก    ในระหว่างการเก็บรักษาหัวเผือกในโรงเก็บน้ำควรระมัดระวังไม่ให้หัวเผือกชื้น  และไม่ควรกองหัวเผือกสุมกันมาก ๆ  ควรทำเป็นชั้น ๆ  จะได้ระบายถ่ายเทอากาศได้สะดวก

                   คุณผู้ฟังครับ แมลงศัตรูพืชที่พบในเผือก นั่นก็คือ หนอนกระทู้ผัก  เป็นแมลงศัตรูเผือกที่ระบาดเฉพาะแหล่ง  ไม่พบทั่วไป  แมลงชนิดนี้มีพืชอาศัยหลายชนิด  เช่น  บัวหลวง  และพืชผักชนิดต่าง ๆ   ลักษณะและการทำลาย  เริ่มแรกผีเสื้อจะวางไข่ไว้ตามใบเผือก  แล้วฟักตัวออกเป็นตัวหนอนอยู่เป็นกลุ่มกัดกินใบเผือกด้านล่าง   เหลือไว้แต่ผิวใบด้านบน  เมื่อผิวใบแห้งจะมองเห็นเป็นสีขาว   ถ้าหนอนกระทู้ผักระบาดมากจะกัดกินใบเผือกเสียหายทั่วทั้งแปลงได้  ทำให้เผือกลงหัวน้อย ผลผลิตต่ำ    ส่วนเพลี้ยอ่อนเป็นแมลงศัตรูของเผือกอีกชนิดหนึ่งที่ระบาดเฉพาะแหล่ง  มีขนาดเล็กตัวอ่อนมีสีน้ำตาล  โดยเพลี้ยอ่อนจะดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบและยอดอ่อนของเผือกทำให้เผือกแคระแกรน  ไม่ค่อยเจริญเติบโตได้    ส่วน ไรแดง  เป็นแมลงศัตรูขนาดเล็กที่ระบาดเฉพาะแหล่ง  ไม่พบทั่วไป  ไรแดงมีรูปร่างคล้ายแมงมุม   ตัวเล็กมาก  ลำตัวสีแดง   พบอยู่ตามใต้ใบเผือกและยอดอ่อน  โดยไรแดงจะใช้ปากดูดกินน้ำเลี้ยง   บริเวณใต้ใบเผือก   ทำให้เกิดเป็นรอยจุด  สีน้ำตาลหรือสีขาวอยู่ทั่วไป     ถ้าระบาดมากใบเผือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นสีเทา  แล้วแห้งในที่สุด  ไรแดงเผือกจะพบระบาดมากในช่วงฤดูแล้ง  หรือในช่วงเผือกขาดน้ำครับ

               คุณผู้ฟังครับและเวลาสำหรับรายการ  “  จากแฟ้มงานวิจัย  มก. ”  ในวันนี้ก็หมดเวลาลงแล้วครับ  พบกับรายการนี้ได้ใหม่ในสัปดาห์หน้า  ทางสถานีวิทยุ  มก. แห่งนี้  หากคุณผู้ฟังมีข้อแนะนำติชมรายการหรือจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเขียนจดหมายมายัง  “รายการจากแฟ้มงานวิจัย มก.” ตู้ ปณ. 1077 ปทฝ.เกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10903 หรือ   โทรสอบถามได้ที่       0-2561-1474 สำหรับวันนี้รายการจากแฟ้มงานวิจัย มก. ได้หมดเวลาลงแล้วครับ  แล้วพบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า  สำหรับวันนี้ ลาไปก่อน สวัสดีครับ…….

 

 

 

…………………………………..